The Table by Chef Pam ที่สุดของ Beef Omakase หัวละ 9,000 บาท

ถ้าพูดถึง Omakase ในกรุงเทพฯตอนนี้ บอกเลยว่ามีเยอะมากจนเลือกกินไม่ถูก แต่วันนี้ร้านที่เพชรขอมานำเสนอ คือที่สุดของโอมากาเสะสายเนื้อ ร้านที่ว่าก็คือ The Table by Chef Pam นั่นเอง หลายๆคนอาจจะคุ้นหน้าเชฟแพมกันอยู่บ้างแล้ว เพราะเค้าเป็นหนึ่งในกรรมการรายการ Top Chef Thailand และยังเปิดร้านอาหารอีกมากมายนับไม่ถ้วนอีกด้วย

The Table by Chef Pam คือ Chef’s table ที่บ้านของเชฟแพมย่านสุขุมวิท ที่เปิดรับวันละ 1 โต๊ะ 1 รอบเท่านั้น สูงสุดได้ทั้งหมด 16 คน เป็นมื้อที่ exclusive มากๆและราคาก็แรงมากเช่นกัน เพราะหัวละ 9,000 บาทแหน่ะ ได้ยินราคาอาจจะตกใจ แต่อยากให้อ่านต่อไปก่อน ว่าทำไมถึงต้องราคานี้ (9,000 บาทคือคอร์สที่แพงที่สุด ยังมีราคาอื่นๆอีกด้วย)

แน่นอนว่าเปิดราคามาแบบนี้ คุณภาพของเนื้อและวัตถุดิบต่างๆต้องมาแบบไม่อั้นแน่นอน เชฟแพมใช้เนื้อจากฟาร์มดังๆทั้งในและต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นออสเตรเลีย อเมริกา และ ญี่ปุ่น มารังสรรค์มื้อนี้ให้แบบจัดเต็ม นอกจากวัตถุดิบแล้ว บรรยากาศบ้านก็ยังอบอุ่นและcozy มากๆ เหมือนเชฟยกบ้านทั้งหลังให้พวกเราเลย เป็นบ้านที่เพดานสูงทำให้เข้าไปแล้วไม่อึดอัด เหมือนมานั่งกินข้าวบ้านเพื่อน รวมทั้ง open kitchen ที่เราสามารถเห็นเชฟแพมทำอาหารได้ตลอดเวลา และสามารถเข้าไปดูและพูดคุยได้อย่างเป็นกันเองอีกด้วย เกริ่นมาเยอะแล้วเข้าสู่ช่วงรีวิวอาหารกันบ้างดีกว่า โดยจะมีทั้งหมด 12 courses

ขนมปังบริยอชที่ทางเชฟทำเอง โดยใช้น้ำมันเนื้อผสมด้วย หอมมากๆ ตัวขนมปังเนื้อฟู ไม่ร่วน ไม่แข็ง texture ดีมากๆ ทานคู่กับ beef consommé หรือซุปใสที่ต้มจากกระดูกวัว ซุปหวานมากๆ เข้ากับขนมปังได้ดีมาก

โคนกรอบๆกับเนื้อโกเบสับ คำนี้เล็กพริกขี้หนู เพราะแค่คำเล็กๆคำเดียว แต่รสชาติยังตราตรึงจนถึงทุกวันนี้ มันเข้ากันดีมาก

ครั้งแรกกับการลองหัวใจวัว เชฟแพมบอกว่าเป็นชิ้นส่วนที่มักจะถูกมองข้าม และขายในราคาถูก แต่เชฟเอามาcookจนนุ่มทานคู่กับแยมรสเนื้อและน้ำผึ้ง เสิร์ฟบนขนมปัง sourdough ที่ทำเอง โอ้ยอร่อยมากๆ หัวใจไม่เหนียวเลย นอกจากเนื้อจะดีแล้ว ขนมปังของเชฟก็ดีมากๆเช่นกัน

เราแอบไปดูในครัวก็งงๆว่าก้อนดำๆเมนูนี้คืออะไร เชฟใช้เนื้อ wagyu ส่วน Flat Iron ที่เลาะเอาผังผืดออกจนหมด มาคลุกกับถ่านแล้วย่าง นุ่มมากๆ medium rare เป๊ะๆ กินคู่กับกระเทียมดำจากออสเตรเลีย ไม่มีอะไรจะติเลยสำหรับจานนี้

เมนูนี้ใช้เนื้อไทย นำมา sous vide ทั้งหมด 48 ชั่วโมง จานนี้เป็นเนื้อไทย เขฟใช้ความร้อนในการซูวีไม่สูงมากเลยยังแดงน้อยๆสีสวย โดยลิ้นเป็นส่วนโคนที่ตัวนึงมีเพียงไม่กี่%เท่านั้น นุ่มมากๆ และ Kale ที่อยู่บนเนื้อบอกเลยว่าเป็นผักที่อร่อยมากๆ มันกรอบ หวาน อร่อย จนอยากจะขอเพิ่มเลย และอย่าลืมจิ้มพริกดองส้มยูสุนะ ตัดเลี่ยนดีมาก

เพชรคือคนที่ไม่กินฟัวกราส์เลยซึ่งเชฟเปลี่ยนให้เป็นดอกกะหล่ำ ก็เป็นดอกกะหล่ำที่อร่อยมาก ด้านนอกเป็นเนื้อมัสสึซากะกับซอสไวน์ แต่เพชรลองชิมฟัวกราส์ของเพื่อน แล้วก็ค้นพบว่า นี่คือฟัวกราส์ที่ดีที่สุด ขนาดคนไม่ชอบฟัวกราส์อย่างเรา ก็กินได้สบายๆ กลิ่นไม่แรง และมันไม่เยอะ ค่อนข้าง lean เลย ถ้าใครอ่านมาถึงตรงนี้ กินเถอะ เชื่อเรา อย่าขอเปลี่ยน มันดีมากๆ

เนื้อรมควันกับไม้ลิ้นจี่และไม้มะขาม ขูด truffleแบบไม่ยั้ง และมีซอสเนื้อคลุกอยู่ เนื้อรมควันกลิ่นชัดมาก เข้ากับทรัฟเฟิลและซอสได้ดีมากๆ ข้าวหุงสวยทุกเม็ด

เห็นจานนี้แล้วต้องร้องว้าว ก็แอบอิ่มหน่อยๆแล้วนะ แต่สู้ตายค่ะ เนื้อชิ้นหนามาก สุกระดับ medium rare ขนมปังเชฟทำเองเหมือนเดิม กรอบนอกนุ่มใน เข้ากันดีมากก ทีเด็ดอีกอย่างคือ หอมแดงดอง อร่อยจนต้องขอสอง!!

เนื้อส่วนแก้มที่นำไปรมควัน จะออกแนวแม็กซิกันหน่อยๆจานนี้ อันนี้เพชรชอบน้อยกว่าจานอื่นๆ แต่ก็คือยังอร่อยอยู่นะ

หมั่นโถวทำเองกับเนื้อบด โปะด้วยชีสและพริก Jalapeño จะบอกว่าขนมปังที่ร้านดีมากกกทุกตัวแบบมากๆๆจริงๆ อยากกินแค่ขนมปัง อยากซื้อกลับบ้านเลย

สุดท้ายปิดท้ายด้วยของหวาน มีอีก 3 อย่าง แทบกลิ้งกลับบ้าน Pickled Lemon curd เสิร์ฟคู่กับเมอแร็งก์โรยพริกกับเกลือ อร่อยมากๆ อีก 2จานก็รสชาติดีไม่แพ้กันเลย ยังไงต้องไปต่อให้จบนะ

สรุปคือก็ชอบมาก แต่ด้วยราคาก็ยอมรับว่าค่อนข้างสูง เพชรคิดว่าถ้าเป็นโอกาสพิเศษแล้วอยากจะฉลอง สังสรรค์ ก็แนะนำเลยจริงๆ เพราะนอกจากอาหารจะดีมากๆๆแล้ว เชฟก็น่ารักมากๆ แถมบรรยากาศบ้านคือมีความเป็นส่วนตัวมากๆ เป็นมื้อที่perfect กับกลุ่มคนพิเศษๆของเราได้เลย และถ้าหาก 12course มากไป ก็ยังมีราคาอื่นๆตามนี้

Beef Omakase 12 courses 9,000.- (4-16 ท่าน)
Beef Omakase 7 courses 5,000.- (6-16 ท่าน)
Seasonal menu 8 courses 5,000.- (6-16 ท่าน)

ใครสนใจจองได้เลยที่ website นี้ แนะนำให้จองล่วงหน้าหลายๆเดือนนะ ด้วยความที่รับได้ไม่มาก ค่อนข้างโด่งดัง คิวก็จะยาวหน่อยๆจ้า