3 วันกับเมืองฮิปๆ พาเดินถ่ายรูป ทริปฮานอย | Hanoi City Guide

ก็เพิ่งจะรู้ก่อนจะมาเที่ยวนี่แหละ ว่าเวียดนาม ใกล้ไทยมากจริงๆ นั่งเครื่องบินแค่ 1.15-1.30 ชั่วโมงก็ถึงแล้ว แถม GMT+7 เหมือนกัน ไม่ต้องปรับเวลาเลย ไม่มีปัญหา Jetlag แน่นอน เหมือนไปอีสาน หรือไปเหนือนั่นแหละ คนก็หน้าตาคล้ายกัน แถมมาที่นี่ กลายเป็นเศรษฐีโดยไม่รู้ตัว พกเงินทีเป็นล้านเลยจ้า

ทริปนี้เลือกบินไฟล์ทเช้าตรู่ประมาณ 6.30 น. กับ Nok air (จ่ายเองนะ ไม่มีสปอนเซอร์ >w<) ด้วยความที่เป็นคนไม่ชอบตื่นเช้ามืดแล้วมาสนามบิน เลยนัดกับเพื่อนมาเจอกันกลางคืนเลยดีกว่าประมาณเที่ยงคืน แล้วหาที่นอนแปะๆเอาที่สนามบิน แต่โชคดีที่สนามบินดอนเมืองมี sleep box ให้ซุกหัวนอนได้ แถมราคาไม่แพงอีกด้วย เลยนอนสัก 3-4 ชั่วโมงเอาแรง ห้องดีมาก มีห้องน้ำในตัวด้วยนะ แต่วันที่ไปนั้นเหมือนเค้าจะซ่อมอะไรสักอย่าง เสียงเจาะสว่านดังมาก แต่ยังไงสุดท้ายก็ได้ไปเข้าเฝ้าพระอินทร์อยู่ดี 555

ทริปนี้เราได้สปอนเซอร์ pocket wifi จาก tripizee (ขอบคุณมากค่า >_<) ทำให้ได้มี 4G มาใช้ไม่อั้น ชอบมากที่เค้ามาส่งให้ที่บ้านเลย มาเป็นกระเป๋าพร้อมที่ชาร์จและวิธีใช้อีกด้วย จากที่ได้ลองใช้มาสัญญานไม่มีหลุด แรงดี ไม่มีปัญหาเลย แต่เราก็ไม่ควรเปิดเครื่องค้างไว้ตลอดนะ เพราะมันจะค่อนข้างร้อนและแบตจะหมดเร็ว

ในที่สุดก็มาถึง ตื่นมาด้วยสภาพงัวเงีย เมื่อผ่าน immigration แล้ว ก็ออกมาแลกเงินที่ด้านนอก เราเอา USD มาแลกเป็น VND เพราะอ่านมาเค้าบอกคุ้มกว่า แต่จริงๆเราว่าถ้าแลกไม่เยอะแลกมาจากไทยเลยก็ไม่ได้ ไม่น่าต่างกันมาก และเพิ่งมารู้ก่อนมาเลยว่าจริงๆหลายๆที่สามารถจ่ายเงินไทยได้เลย เราใช้บริการ limo ของโรงแรมให้มารับ บริการทุกระดับประทับใจมาก รถนั่งสบายสุดๆ ใช้เวลาประมาณ 40 นาทีก็ถึงโรงแรม

ทริปนี้เกิดขึ้นจาก เราได้ไปร่วมงานครบรอบที่โรงแรมหนึ่ง แล้วดันเป็นผู้โชคดีได้ที่พักที่ JW Marriott Hanoi ฟรี 1 คืน เรามาทั้งหมด 3 วัน 2 คืนซึ่งเราว่าค่อนข้างเพียงพอกับการเที่ยวในฮานอยทั้งหมดนะ แต่ถ้าจะไป Halong bay หรือ Sapa ด้วยควรจะมานานกว่านี้

โรงแรมสวยมากกกกกก เรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในทริปนี้ มาดูรอบๆโรงแรมกันเลย ที่ชอบที่สุดก็เป็นส่วนของสระว่ายน้ำที่อยู่ชั้นบนนี่แหละ เห็นวิวรอบๆอีกด้วย เสียดายเราไม่ได้เอาชุดว่ายน้ำมา YY

ระหว่างรอห้องพัก เลยมานั่งรอที่ The Lounge สั่งโน่นนี่มากินให้ตื่น น้ำส้มอร่อยดี สดชื่นนน

ห้องพักกว้างขวาง สะดวกสบายมาก ห้องน้ำนี่ใหญ่กว้างสบายมาก

แต่งตัวเก็บของเรียบร้อย ก็ได้เวลาออกไปเที่ยวกัน จุดหมายแรกของเราคือไปกิน Bun cha ในเมือง โดยเราใช้บริการแท็กซี่ตลอดทริปนี้ เพราะไม่ได้แพง แล้วก็ค่อนข้างสะดวกสบาย อีกทั้งแถวโรงแรมค่อนข้างไกลจาก Old quarter เหมือนกัน รถบัสไม่ค่อยผ่านด้วย ( note รสบัสที่นี่สภาพดีกว่าบ้านเรานะ ราคา 7,000-9,000 VND/เที่ยว) เราสามารถจ่ายค่าโดยสารผ่านบัตรเครดิตได้ด้วย สะดวกมาก และบนรถจะมีบอกระยะเวลาตั้งแต่ออกจนถึงจุดหมาย ทริปนี้เราคิดว่าไม่โดนโกงนะ (หรือโดนมาตลอดก็ไม่รู้) เพราะราคาค่อนข้างใกล้เคียงกันในทุกๆวัน

ร้าน Bun cha dac kim คนเยอะมาก แต่ด้วยการจัดการที่ดี นั่งปุ๊ปเสิร์ฟปั๊บและต้องกินเดี๋ยวนั้น เลยทำให้คนทยอยเข้าออกเรื่อยๆ เราสั่งแบบ combo set มากิน อร่อยดีแบบงงๆ แนะนำว่าอย่าลืมปรุงด้วยนะ มันหวานไป

อ่านรีวิว Hanoi food guide
อ่านรีวิว 11 ที่เที่ยวห้ามพลาดในฮานอย
อ่านรีวิว คาเฟ่และของหวานในฮานอย

ย่าน Old quarter ก็คือย่านเมืองเก่าของฮานอย ฉะนั้นผังเมืองอาจจะดูงงๆอยู่บ้าง ถนนอาจจะแคบ ฟุตบาทกลายเป็นที่จอดรถมอเตอร์ไซค์ไปโดยปริยาย แต่ลวดลาย graffiti และความเก่าของมันคือเสน่ห์ของที่นี่จริงๆ มีความฮิปสเตอร์มาก เดินไปตรงไหนก็ถ่ายภาพได้

การจราจรที่นี่ค่อนข้างสับสนและงุนงงมากสำหรับเราในช่วงแรกๆ เสียงแตรรถที่หลากหลายทำให้เหมือนเป็นโรคจิตระแวงอยู่เรื่อยๆ 555 แต่สักพักก็ชินไปเอง ข้ามถนนแนะนำให้ระวังตัวเอามากๆ เพราะรถ จะไม่ยอมหยุดให้คุณ สู้กันให้ตายไปข้างค่ะบอกเลยยย

ที่บอกว่าเมืองดูงงๆ แต่เราชอบนะ คือร้านค้าจะสลับปนเปกันไปทั้งร้าน modern และเก่าแก่ ชั้นอยากจะขายอาหารข้างร้านรองเท้าก็ได้ ไม่มีการแบ่ง zone อะไรทั้งสิ้น street food ก็คือเก้าอี้เตี้ยๆนั่งล้อมคนขาย มีความใกล้ชิดสนิทสนมกันมาก >3< ให้บรรยากาศน่ารักๆไปอีกแบบ

เราเดินเล่นเรื่อยๆจนมาถึงร้าน Tranquil books & coffee เราชอบร้านนี้มาก ทั้งบรรยากาศและเครื่องดื่ม อ่านรีวิวคาเฟ่และของหวานได้ที่นี่

นั่งถ่ายรูปเล่นสักพักก็เดินไปแถวโบสถ์ St Joseph Cathedral โบสถ์ St Joseph Cathedral เป็น โบสถ์ที่เก่าแก่มากที่สุดในฮานอยสร้างในปี 1886 แต่วันนี้เข้าข้างในไม่ได้เลยถ่ายแต่ข้างนอกเอา เจอร้าน Pho เลยลองแวะดู เผื่อมันจะอร่อย แต่ขอรอบเดียวผ่าน และระหว่างทางผ่าน Ly Trieu Quoc Su Pagoda ถ้าอยากเข้าไปข้างในต้องถอดรองเท้าด้วย แต่เราไม่สะดวกเท่าไรเลยแวะถ่ายรูปสักนิดและขอพรด้านนอก

จากตรงนี้เดินไปทะเลสาบคืนดาปไม่ไกล ถือว่าเดินเล่นถ่ายรูปไปเลยในตัว เจอวัดหรือศาลเจ้าเลยแวะขอพร

อากาศค่อนข้างร้อนและครึ้ม เลยเดินๆแล้วก็พัก วันนี้ไม่รีบ ไม่นานก็มาถึงทะเลสาบ เราซื้อหมวกเวียดนามมาหนึ่งใบใส่ถ่ายรูป เดินรอบทะเลสาบ 1 รอบ ค่อนข้างไกลอยู่ แต่มีจุดให้นั่งพักเรื่อยๆ เหมือนเป็นสวนสาธารณะกลางเมืองไปในตัว

ทะเลสาบคืนดาป หรือ Hồ Hoàn Kiếm (ฮหว่านเกี๊ยม) มีตำนานว่า สถานที่แห่งนี้เป็นตำนานการสร้างชาติเวียดนามว่า ในศตวรรษที่ 15 จักรพรรดิเล เหล่ย แห่งราชวงศ์เล ได้ใช้ดาบศักดิ์สิทธิ์ในการขับไล่ชาวจีนแห่งราชวงศ์หมิงที่รุกราน ให้ออกไปจากเวียดนาม ในขณะที่พระองค์ประทับบนเรือ ณ ทะเลสาบแห่งนี้ ก็มีตะพาบยักษ์ตัวหนึ่งโผล่ขึ้นมาจากผิวน้ำและบอกให้พระองค์ส่งดาบนั้นกลับคืนแด่จ้าวมังกร ดาบนั้นก็ได้พุ่งออกจากฝักดาบเข้าไปในปากของตะพาบก่อนที่จะหายกลับลงไปสู่ใต้ผิวน้ำ อันเป็นที่มาของชื่อทะเลสาบคืนดาบ และหอโบราณที่โผล่ขึ้นกลางน้ำ เรียกว่า ท้าปสั่ว หรือ หอคอยตะพาบ เคยอ่านเจอว่ายังมีคนเห็นตะพาบในทะเลสาบนี้ด้วยนะ O____O โดยตะพายในทะเลสาบนี้คือตะพาบยักษ์แยงซีเกียง (ที่มา : Wikipedia)

เดินไปทางตอนเหนือของทะเลสาบ จะสะพานสีแดงสดใส เชื่อว่า สะพานเทฮุก หรือ สะพานแสงอาทิตย์ ข้ามไปยังเกาะเล็กๆที่มีวัดหง็อกเซินตั้งอยู่ ซึ่งมีตัวอย่างตะพาบยักษ์สตั๊ฟฟ์ไว้ให้ดูด้วย แต่เราไม่ได้ข้ามไป เพราะคนเยอะมาก

รอบๆทะเลสาบจะมีนักเรียนมาหัดวาดรูปกันเยอะมาก มากันเป็นกลุ่มน่ารักดี
เมื่อเดินครบรอบทะเลสาบนี่เหนื่อยเอาเรื่องเหมือนกัน แต่ถือว่าได้ออกกำลังกาย เพราะต้องกินอีกเยอะ
เรามาพักที่ร้าน S’Patisserie นั่งทานขนมกันสักพักก็ไปหาร้านกินต่อ 555

เป้าหมายต่อไปคือร้าน HEEKCAA ร้านชาชีสที่เพิ่งมาเปิดที่ไทยไม่นาน ที่นี่มีหลายสาขาและดูค่อนข้างโด่งดังเลย ลองชิม Oolong cheese tea อร่อยจริงๆด้วยแฮะ ชีสนุ่มละมุนมาก

ตั้งใจว่าจะไปเดินเล่นถ่ายรูปต่อแล้วค่อยไปกินมื้อเย็น แต่ฝนดันตกลงมาซะนี่ เลยต้องหาร้านหลบ ถัดไปไม่กี่ห้อง ก็เจอร้าน Chen san ding นี่มันร้านดังจากไต้หวันที่เราเป็นแฟนคลับนิหน่า แต่ที่นี่ทำแบบดูดีเลย ไม่ได้เป็น street food แบบตรง Gongguan คือร้านเพิ่งเปิดจริงๆ เมนูภาษาอังกฤษยังทำไม่เสร็จ เป็นกระดาษมาให้อ่านก่อน คือแบบที่กินที่ไต้หวันไม่มี เลยเอาเป็น Jasmine tea ใส่ bubble แต่เราว่ารสชาติยังไม่ผ่าน ถ้ามาร้านนี้แนะนำให้นั่งชั้น 2 เป็นเบาะนั่งสบายๆ มีคนแอบมานอนหลับด้วย

นั่งหลบฝนจนหยุด ก็เดินเล่นต่อ ตอนนี้หิวข้าวจริงๆละ เดินไปไม่ไกลมีร้าน Quan An Ngon restaurant ที่หามา ร้านคนเยอะแต่รอไม่นานเลย กินเสร็จก็กลับโรงแรม เป็นอันหมดวันแรก

เตียงนอนนุ่มสบายดูดวิญญาณเอามากๆ ตื่นมาก็9โมงกว่าแล้ว รีบแต่งตัวมากิน Breakfast คืออยากพรีเซ้นมาก ไลน์อาหารเช้าที่นี่ดีจริงๆ อาหารหลากหลายและใหญ่มาก มีโซนอาหารเกาหลีโดยเฉพาะด้วย มีซุปกิมจิทำกันสดๆ เลย นอกจากนี้ยังมีเฝอที่รสชาติดีและน่ากินมากอีกด้วย

จุดหมายแรกวันนี้เราจะไปที่ Hoa Lo prison เป็นคุกที่อยู่ในเมือง สร้างโดยฝรั่งเศส ในช่วงแรกเอาไว้ขังนักโทษทางการเมือง หรือกลุ่มคนที่ต้องการจะคืนเอกราชให้กับเวียดนาม สภาพในคุกค่อนข้างดิบและชื้นมาก สมจริงเหมือนเราเข้าไปอยู่จริงๆ (แอบหดหู่) นักท่องเที่ยวเยอะมากโดยเฉพาะฝรั่งหัวทอง

มีหุ่นจำลองนักโทษ มีของเครื่องใช้ต่างๆโชว์ไว้ด้วย

โซนที่หดหู่ที่สุดคือห้องขังรวมผู้หญิง กับ นักโทษที่ต้องประหารนี่แหละ
ทุกคนจะโดนรัดข้อเท้าไว้ ไปไหนไม่ได้เลย แอบสงสัยนะว่าอยากเข้าห้องน้ำต้องทำยังไง T^T สงสารจริงๆ

เดินไปตามทางเรื่อยๆจะมีโซนเล่าเรื่องตอนที่แห่งนี้กลายเป็นคุกของนักบินอเมริกัน สภาพดีขึ้นมาก ชาวเวียดนามให้ความเป็นอยู่ที่ดีแก่นักโทษเหล่านี้จนได้รับสมญานามว่า Hilton Hanoi (แต่ดูสิ่งที่ชาวเวียดนามได้รับสิ…สงคราม?)

นอกจากนี้ยังมีอนุสรณ์สถานรำลึกถึงผู้ที่เสียชีวิต พร้อมประวัติอีกด้วย

เสร็จจากที่นี่ เราเดินกลับไปกิน HEEKCAA อีกรอบ ลองสั่งแบบชาผลไม้ และกินไอศกรีมร้านข้างๆที่ไม่ถูกปากเอาซะเลย

เดินตามทางมาเรื่อยๆ เจอ Vietnam Military History Museum เลยแวะเข้าไปดู มีทั้งป้อมปราการ อาวุธที่ใช้รบต้ังแต่สมัยโบราณ รวมถึงเครื่องบินและเฮลิคอปเตอร์อีกด้วย

ตอนแรกคิดว่าจะนั่งรถไป Ho Chi Minh museum แต่เปลี่ยนใจค่อยๆเดินดีกว่า เราไปแวะพักที่ The Rustic coffee หลบฝน ร้านตกแต่งได้น่ารักมาก แต่รสชาติขนมและเครื่องดื่มเฉยๆนะ

มีแวะพักกินข้าวระหว่างทางอีกร้าน (กินเยอะมาก) แบบ so randomly รสชาติเฉยๆ แต่ร้านก็สะอาดดีนะ

ในที่สุดก็ถึงซะที Ho Chi Minh mausoleum หรือ สุสานของลุงโฮนั่นเอง ยิ่งใหญ่มาก ปกติเค้าจะเปิดให้เข้าไปชมข้างในด้วย แต่ช่วงที่เราไปเค้าปิด (อีกแล้ว)

Ho Chi Minh museum ก็อยู่ติดกันเลย สามารถเดินต่อไปกันได้ Museum จะมีพักช่วง 11.30-14.30 อย่ามาผิดเวลาแล้วกัน Museum ข้างในก็จะเล่าถึงประวัติครอบครัวของลุงโฮ ประเทศเวียดนาม สไตล์การตกแต่งเป็นแนวคอมมิวนิสต์เลย

บริเวณแถวนี้จะมีศาลเจ้า และ One Pillar pagoda หรือเจดีย์ที่มีเพียงแค่เสาเดียว สามารถต่อแถวขึ้นไปสักการะขอพรได้

บริเวณนี้ยังมีสถานที่อื่นๆให้เข้าชมได้ เช่น Pesident palace บ้านของโฮจิมินห์ แต่เราไม่ได้เผื่อเวลาไว้เยอะ เลยไม่ทันเข้า เดินเล่นรอบๆแทน

จากตรงนี้ เดินประมาณ 10 กว่านาที ก็จะถึง west lake ถนนแถวนี้เดินง่าย ฟุตบาทกว้างและไม่มีรถจอดขวางทาง west lake เป็นทะเลสาบน้ำจืดขนาดใหญ่ของเมือง ผ่าน Taoist Temple Quan Thanh เป็นวัดของลัทธิเต๋า เราถ่ายรูปข้างหน้าวัด แล้วไปต่อที่ Tran Quoc Pagoda ซึ่งเป็นเจดีย์ที่เก่าแก่ที่สุดในเวียดนาม ตรงข้ามเจดีย์มีร้านไอศกรีม คนต่อคิวเยอะมากเลยไปลองตามดู แต่รสชาติไม่ถูกปาก (อีกแล้ว TT)

เดินมาทั้งวันเมื่อยมาก เลยตัดสินใจไปทำสปากันที่ร้าน Mido spa หาข้อมูลจาก Tripadvisor นี่แหละ บริการดีมากเลย พอเสร็จก็มืดพอดี เลยลองแวะกิน Banh Mi แถวนั้น เฮ้ย อร่อยนะเนี่ยยย หมูคือดีมาก และเราก็ผจญภัยไปกินปากหม้อเวียดนามกัน อันนี้ก็ดีงามเช่นกัน สุดท้ายกลับมากิน Egg coffee ที่ Giang café

ตอนแรกตั้งใจว่าจะไป Night market เลย แต่ตอนนั้นแบบร้อนมากกกกกกก และอยากกินเฝอก่อนกลับ เลยตัดสินใจไปกินเฝอ Phở Gia Truyền คนรอคิวยาวมากกกก ราคาไม่แพง อร่อยดีนะ แต่เราว่าไม่ได้ขนาดนั้นอ่ะ เสร็จแล้วก็กลับโรงแรมเพราะหมดสภาพจริงๆ 55555

วันนี้วันสุดท้ายแล้วก่อนกลับ ตื่นเช้ามากิน breakfast ที่โรงแรมเช่นเคย แล้วเดินไปชม Hanoi museum ที่ไม่ไกลจากโรงแรมเลย สะดุดตาตึกรูปทรงล้ำๆนี่แหละ ก่อนเข้าไปต้องฝากของ ห้ามเอากล้องเข้าไปด้วยนะ คนน้อยมาก แทบร้างเลยวันนั้น แอร์ก็ไม่ยอมเปิด อาจจะยังเช้าอยู่รึป่าวไม่แน่ใจ เราอยู่แปปเดียวก็เดินกลับโรงแรม มีนัดกิน lunch กับ chef Bruno Menard อาหารดีมากๆ คุ้มค่ากับ 3-michelin star chef จริงๆ อ่านรีวิวกดตรงนี้เลย

ยังมีเวลาเหลือช่วงบ่าย เลยไปหาซื้อของฝากที่ Lotte center เป็นห้างของเกาหลี ก็เหมือนห้างสรรพสินค้าทั่วไปนั่นแหละ แต่น่าจะเพิ่งเปิดไม่นานเลยดูใหม่มาก แอบเช็คราคาของที่นี่ก็ไม่แพงด้วยนะโดยเฉพาะของ IT

นอกจากนั้นที่นี่ยังมีโรงแรม และ Observation deck อีกด้วยโดยอยู่ที่ชั้น 65 เราต้องไปที่ใช้ B ของตึกก่อนเพื่อซื้อบัตรและขึ้นลิฟต์ไป

เราสามารถเห็นฮานอยได้แบบ 360 องศาเลย โชคดีว่าวันที่ไปคนน้อย ไม่ต้องแย่งอะไรกับใคร มีโซนที่เป็นกระจกใสๆทั้งหมดให้เข้าไปถ่ายรูปด้วย แอบเสียวเหมือนกัน

จากภาพจะเห็นว่าฮานอยดูเหมือนมีหมอกตลอดเวลา ไม่แน่ใจว่าคือฝุ่นละอองรึป่าว (เคยเห็นแบบนี้ที่ดูไบนะ)

สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด ยังมีเวลาเหลือ เลยเดินไปชิมชาร้านสุดท้ายคือ Heytea ซึ่งโลโก้เหมือน Heekcaa อีกกกก ไม่รู้เหมือนกันอันไหน original นะ แต่ชอบ heytea ที่สุด

กลับมาถึงโรงแรมและจัดการเก็บของ ขากลับก็ใช้ limo ของโรงแรมเช่นกัน นั่งสบายมาก บินกลับถึงไทยโดยสวัสดิภาพจ้า แอบมีอากาศแปรปรวนเล็กน้อย แต่ถือว่าโอเคดี ทริปนี้ประทับใจโรงแรมมาก สะดวกสบายมากจริงๆ อาหารก็อร่อย ราคาสมเหตุสมผลกับการบริการ กลับมานอนเตียงนุ่มๆเป็นการชาร์จพลังที่ดีมาก ฮานอยสำหรับเราเป็นเมืองที่ค่อนข้างเจ๋ง ในความดิบของมัน มีความฮิปซ่อนอยู่ทุกที่ ชอบแทกซี่ที่ไม่ปฎิเสธผู้โดยสาร และรถเมล์ก็ติดแอร์ทั้งหมดนะจ้า มีบอกเส้นทางชัดเจนอีกด้วย ชอบคาเฟ่ที่มีปลั๊กและ wifi free ทุกที่ ร้านน่ารักๆเยอะมาก ส่วนรสชาติอาหารและขนม เราว่ายังเฉยๆ มีอร่อยสำหรับเราไม่กี่ร้าน ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะเราโตมากับอาหารเวียดนามแบบไทยๆก็เป็นได้ 555 คราวหน้าจะต้องได้ไปฮาลองเบย์กับซาปาด้วยแน่นอน !