รีวิว Cuisine de Garden เมื่อธรรมชาติกับอาหารรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน

03 April 2019

หลังจากประสบความสำเร็จกับร้าน Cuisine de garden ที่เชียงใหม่ไปแล้ว เชฟแนน ผู้รังสรรค์เมนูต่างๆจึงได้มาเปิดอีกสาขาที่กรุงเทพฯ โดยซึ่งเมนูจะไม่เหมือนกันกับที่เชียงใหม่นะ
ร้าน Cuisine de garden สาขากรุงเทพฯ ตั้งอยู่ที่เอกมัยซอย 2 สามารถจอดรถได้ที่ Somerset ถัดไปในซอย
ภายในร้านตกแต่งได้หรู มีความธรรมชาติโดยเอาต้นไม้จริงมาใส่ไว้ในร้านเลย ร้านโล่ง โปร่งสบาย อาหารที่นี่จะเป็นแนว European ผสมผสานกลิ่นไอไทยๆ โดยจะเอาวัตถุดิบภายในประเทศ ที่มีคาแรกเตอร์ กลิ่นและรสสัมผัสที่น่าสนใจ มาสร้างสรรอาหารแต่ละจาน โดยเชฟคัดสรรวัตถุดิบภายในประเทศที่มีคุณภาพดีจาก Suppliers อย่างเช่นโครงการหลวง ดอยตุงหรือเกษตรกรจังหวัดต่างๆมาใช้ความรู้สึกเหมือนกินงานศิลปะของเชฟมากกว่ากินอาหาร

อาหารที่ร้านเสิร์ฟเป็น Full course dinner คนละ 1,590 บาท หรือจะสั่งเป็น A la carte ก็ได้เช่นกัน แต่แนะนำเป็น course เพราะคุ้มกว่า 1 Course ประกอบด้วยอาหาร ของทานเล่น ของหวาน ทั้งหมด 5 อย่าง โดยแบ่งเป็น Coast to coast / Chapter 1-4 / Stone ซึ่งครั้งนี้เราได้ลอง Chapter ละ 2 อย่าง ก่อนอาหารมาเสิร์ฟจะมีขนมปังมาก่อน ขนมปัง brioche ที่อบมาแบบอุ่นๆทานคู่กับ Creme fraiche ที่เสริฟมาบนใบไม้ สามารถฉีกใบออกมาได้เป็นกลีบๆ
เริ่มต้นที่ Coast to coast จานนี้ มีทั้งหมด 4 อย่าง โดยวัตถุดิบหลักจะใช้มะกรูด
เริ่มจากทางซ้ายมือ เป็นกุ้งขาวกับมะกรูด emulsion อยู่ในเปลือกหอย อันนี้กินแล้วได้กินมะกรูดชัดเจน อร่อยมาก หอยแมลงภู่ เสิร์ฟบนเปลือกหอยที่กินได้ ที่ใช้เทคนิคการทำคล้ายกระทงทอง Salmon tartar ด้านล่างรองด้วยใบมะกรูดทอดกรอบ คำนี้แนะนำให้ใช้ใบมะกรูดเหมือนช้อน จะได้กลิ่นหอมของมะกรูด เนื้อปู top ด้วย black clavier รองด้วยลูกมะกรูด แนะนำให้บีบลูกมะกรูดเล็กน้อย ให้ได้น้ำและน้ำมันหอมๆจากผิวมะกรูด

Chapter 01

Seacret  

ทำจาก Hokkaido scallop นำมา sous vide พันด้วยมะระหวาน กินคู่กับสาหร่าย ยอดฟักแม้ว น้ำราดเป็นพอนซึผสมน้ำมันสกัดจากสาหร่าย เพิ่มความสดชื่นด้วยโฟมมะนาว

Rain forest Beef tartar

ขอนไม้เป็น beef tuile top ด้วย Italian pastley กินคู่กับ Cured egg yolk sauce

Terrarium

เนื้ออกเป็ดผัดกับหอมแดงทำเป็น Chutney ประกบด้วย Tuile ที่ทำเป็นลอน ด้านบนเป็นเนื้อสละเอาไปดองเปรี้ยวๆ ที่เสริฟมาคู่กับสลัดรมควันไม้แอปเปิ้ลและน้ำสลัดที่สกัดน้ำมันจากเปลือกสละ

Chapter 02

NEST

เป็น signature menu ด้านบนเป็นไข่ออนเซ็น วางบนเส้นหมี่ที่ทำเหมือนรังนก ทำจากข้าว ด้านล่างเป็นเนื้อไก่ฉีก เห็ดชิตาเกะ เห็ดPorcini น้ำมัน Truffle ให้กินทุก layers พร้อมกันจะได้รสชาติที่กลมกล่อม

Eclipse

หรือสุริยุปราคา เป็น Barley risotto ด้านบนเป็นปลาข้าวสารตัวเล็กทอดกรอบ และ แก่นตะวันทอด (Jerusalem artichoke) ซอสทำจากแก่นตะวันเช่นกัน

Chapter 03

Water lilies

เชฟได้แรงบันดาลใจมาจากภาพวาดสระบัวของ Monet โดยนำปลาฮาลิบัตมาเสริฟคู่กับส่วนต่างๆของบัว ได้แก่กลีบบัว เม็ดบัว ไหลบัวซึ่งนำมาดองและย่างให้หอมก่อนเสริฟ ทานกับซอสใบบัวบกและน้ำมันสกัดจากใบบัวบก

Swamp

เนื้อไทย dry aged tenderloin กินคู่กับแขนงกะหล่ำและหัวหอมย่าง และซอสกุ้ยช่ายซึ่งเป็นพืชที่มักใช้ในอาหารเอเชียที่มีกลิ่นเฉพาะตัวและเข้ากันได้ดีกับเนื้อ โดยนำกุ้ยช่าย2ชนิดมาใช้คือนำกุ้ยช่ายขาวไปทำเป็นซอสครีมผสมกับน้ำมันสกัดจากกุ้ยช่ายเขียว

Chapter 04

Coral

Matcha mousse กับ Black Sesame Sponge และซอส Yuzu แนะนำให้เอามีดหั่นซอสแล้วกินด้วยกันทั้งหมด

Farm

ได้แรงบันดาลใจจากฟาร์มจริงๆ ประกอบด้วยGoat milk panna cotta , Snow Milk และฟองนมข้างบน กินกับถั่วแมคคาเดเมีย และ น้ำผึ้งจากดอกแมคคาเดเมียของดอยตุง และสุดท้าย Stone ชอคโกแลตรูปหินไส้กระเจี๊ยบและมะขาม ต้องเสี่ยงดวงเอานะว่าอันไหนหินอันไหนชอคโกแลต

สรุป

อาหาร หน้าตาสวยงามมาก ควรเรียกว่า art มากกว่า food ซะอีก ทุกจานมีเรื่องราวแรงบันดาลใจของเชฟ เป็นประสบการณ์ที่ดีหนึ่งมื้อเลยก็ว่าได้ บางจานเช่น stone ก็มีลูกเล่นให้ดูน่าสนใจ ทุกคนควรไปลองงง คือมันสนุกมากกกกก <3

รสชาติอาหาร ค่อนข้างอร่อยทั้งหมด เราชอบ Rain forest / Eclipse มาก แนะนำว่าอย่าพลาดสองจานนี้เลย น้ำตาพี่จิไหล

ราคา อันนี้แล้วแต่คนนะ เราว่าก็ค่อนข้างสมเหตุสมผล เพราะเป็นงาน art ที่ต้องครีเอทออกมาจริงๆ วัตถุดิบบางอย่างก็หายากด้วย แต่รวม Vat/ Service charge ก็แพงไปนิดนึง