ทริปเขื่อนเชี่ยวหลาน ความงามของธรรมาชาติที่ทุกคนต้องไปสัมผัส

16 April 2019

เขื่อนเชี่ยวหลาน หรือ เขื่อนรัชชประภา เราเองได้ยินชื่อที่นี่มานานแล้ว เห็นรูปเพื่อนๆไปเที่ยวกัน คิดในใจ หูยยยยยยย เมืองไทยมีสวยแบบนี้ด้วย แต่กว่าจะได้มีโอกาสไปก็เมื่อปลายปีที่ผ่านมานี่เอง วันนี้จะมาเล่าประสบการณ์แสนประทับใจ 3 วัน 2 คืนให้ฟังกัน
เรานั่งหาข้อมูลในอินเทอร์เนต ส่วนมากก็จะไปพักที่แพ 500 ไร่กัน ตอนแรกเราก็ตั้งใจจะไปพักที่นี่แหละ ห้องพักสวยมาก และด้วยความที่แพอื่นๆไม่ค่อยมีข้อมูลด้วย เรารองานไทยเที่ยวไทย ลากแม่ไปซื้อแพคเกจเลย 5555 แต่ก็ต้อง อึ้ง กับ ราคา ของเค้าจริงๆ ด้วยความที่ครอบครัวเรา 6 คนด้วยแหละ ทุกอย่างคูณ 6 เลยรู้สึกแพงมาก นี่ชั้นไปเที่ยวเมืองไทยจริงๆหรออ O_____o (ป.ล. อันนี้แล้วแต่ความเห็นส่วนบุคคลนะ จะถูกจะแพงได้เที่ยวแล้วมึความสุขก็โอเคแหละเนอะ)

เราเลยเดินหาในงานก็มีแพอื่นๆมาเปิดบูทเหมือนกัน เลยค่อยๆตั้งสติว่าเออ มีแพ อะไรบ้าง อยู่ตรงไหน ราคายังไง ก็เจอ 2-3 แพ ที่โอเค จนสุดท้ายมาลงตัวกับที่นี่ แพพันวารีย์ วิวด้านหลังที่พักเป็นหน้าผาสูง สวยมากกกก ราคาโอเคเลยสำหรับไปทั้งครอบครัว แล้วพี่เจ้าของรีสอร์ทเค้ามาเองด้วย ทำให้เราค่อนข้างมั่นใจ และเค้าบอกว่าช่วงที่เราไปแพอันใหม่จะลากลงพอดี ซึ่งก็คือ The Greenery Panvaree resort จะให้เราไปพักอันนี้เลย เย่ !!!

เมื่อได้แพคเกจแล้ว สิ่งต่อไปที่ต้องหาคือ ตั๋วเครื่องบินนนนน ช่วงนั้นประมาณ กพ มีค 59 นี่แหละ แต่จะไปปลายปีนะ #มีความรีบบบบ 555 ก็ได้ตั๋วของ Airasia ไปกลับประมาณ 8xx บาท ก็โอเคอยู่นะ กดเลยจ้าาาา note: กรุงเทพฯ-สุราษ มีหลายสายการบินนะ ทั้ง การบินไทย ไทยสมายล์ นกแอร์ ไลออนแอร์ แอร์เอเชีย ถูกใจอันไหนก็จองอันนั้นเลย
7 เดือนผ่านไป ได้เวลาเที่ยวแล้ววววว เย่ ! . . เราเลือกไฟล์ทเช้าเลย ถึงสุราษประมาณ 8-9 โมง ให้พอดีเวลากับคนขับมารับไปที่เขื่อน ตอนไปก็แอบลุ้นระทึกเช่นเคยยย คือดอนเมืองตอนเช้าเพิ่งรู้ว่ารถติดมากกก ติดเกือบ 40 นาที ตรงทีจะเลี้ยวขึ้นสะพานอ้อมไป terminal ช็อคมากกก แต่ก็ผ่านไปด้วยดี 55555

พี่รถตู้มารับเราไปที่เขื่อน จากสนามบินประมาณ 40 นาที (อันนี้ราคารวมในแพคเกจแล้วนะ) ก่อนหน้านี้คือฝนตกตลอดเลย ดูพยากรณ์มาก็เป็นฝนตลอดเลยจ้า แอบใจแป้วเล็กน้อย แต่พอไปถึงโอเค ฟ้าใสสวยงามเลยจ้าา แต่ช่วงนี้น้ำขึ้นสูงมาก คือเต้นที่กางไว้เห็นเลยว่าจมไปครึ่งนึง
ระหว่างรอขึ้นเรือก็เดินเล่นรอบๆ อันนี้มีรายละเอียดของแพในเขื่อนทั้งหมด เลยถ่ายมาฝากกัน ไม่ค่อยเห็นมีคนรีวิวเท่าไร
11.00 น. เป็นเวลาที่ขึ้นเรือ จะมีไกด์มาพาเราไป รอบนี้มีแค่ครอบครัวเรากับครอบครัวฝรั่ง( ได้มารู้จักทีหลัง มีพี่คนไทยที่ไปด้วยเป็นตากล้องถ่ายงานที่สุราษด้วย เลยได้รูปสวยๆมาตรึม 555555)
เราใช้เวลาประมาณ 30 นาทีถึงแพของเรา แต่ละแพจะอยู่กันคนละมุม ไม่เจอกันแน่นอนจ้า
เราได้พักโซนใหม่ ซึ่งจะค่อนข้าง private มากๆ มีแค่ 4 ห้องนอนเท่านั้น ใหม่และสะอาดมากๆ ไปถึงมีน้ำกระเจี๊ยบเย็นๆมาตอนรับ สดชื่นมากๆ ตอนนั้นเกือบๆเที่ยงพอดี หิวมากก ได้เวลาอาหารเที่ยงกันแล้ว อ้อ อาหารทุกอย่างทุกมื้อรวมในแพคเกจหมดแล้ว ยกเว้นอยากกินอย่างอื่นเพิ่มหรือสั่งเพิ่มก็จ่ายแยกนะ
อาหารแบบอร่อยทุกอย่างเลยยยยย บางอย่างแบบคั่วกลิ้งนี่เผ็ดมากนะ แต่มันอร่อยอะ กินข้าวคำน้ำคำสุดๆ 5555 ห้องอาหารจะอยู่ชั้นสอง เลยแอบโคลงเคลงนิดหน่อย
ปลาพวกนี้มาเองเลยนะ มันไม่กลัวคนเลย ขออาหารอย่างเดียว
มีมุมถ่ายรูปสวยๆเต็มเลย แต่อันนี้แนะนำมานั่งตอนเย็นนะ ร้อนมากก
กินมื้อเที่ยงอิ่มแล้ว ก็เข้าห้องพักกัน สะอาดน่านอนมากๆ ตอนกลางวันจะไม่มีไฟฟ้าใช้นะ สัญญาณโทรศัพท์ที่แพนี้จะมีแค่ ais เท่านั้น แต่ไม่ได้เล่นได้ตลอดนะ ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศด้วย ฉะนั้นมาแล้ว ก็พักผ่อนอยู่กับธรรมชาติให้เต็มที่ซะเถอะ
เตียงนุ่มสะอาดมาก
มีฝนตกปรอยๆลงมาบ้าง ก็ได้บรรยากาศชิวๆไปอีกแบบ
วิวข้างหลังสุดยอดไปเลย
อันนี้เป็นแพพันวารีย์โซนเก่า คนก็มาพักเต็มนะ พอเวลา 4 โมงเย็น ไกด์ก็มาตาม โปรแกรมวันนี้คือไปดูเขาสามเกลอ หรือ กุ้ยหลินเมืองไทย ชื่อนี้สมเด็จพระเทพฯเป็นคนพระราชทานให้เมื่อท่านเสด็จประพาสมาที่นี่ ท่านตรัสว่า เดี๋ยวนี้ไม่ต้องไปเมืองจีนแล้ว ตรงนี้เหมือนกุ้ยหลินเลย (ประมาณนี้นะฟังไกด์เล่ามา) เลยเป็นที่มาของชื่อนี้
กุ้ยหลินเมืองไทยเป็นยอดเขาสามอันที่โผล่พ้นน้ำขึ้นมาใกล้กัน ไม่ใหญ่มากนะ ไกด์ก็ให้ทุกคนถ่ายรูปกันตามใจชอบ ถ่ายกันจนเมมเต็มเลยทีเดียว 

เค้าก็เล่าให้ฟังว่าเมื่อก่อนข้างใต้นี่เป็นหมู่บ้านนะ แต่ว่าแถวนี้น้ำท่วมบ่อยมาก ในหลวงรัชกาลที่ 9 เสด็จมาที่นี่และโปรดรับสั่งให้สร้างเขื่อนรัชชประภาขึ้นมา ตอนแรกก็มีเสียงคัดค้านกันพอตัวแหละ แต่รัฐก็ชดเชยที่ดินให้แต่ละคนค่อนข้างโอเคเลย ว่าแล้วชาวบ้านก็อพยพกันออกไป หลังสร้างเขื่อนเสร็จก็พักน้ำประมาณ 7-8ปีจนใส แล้วเปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเหมือนอย่างทุกวันนี้ มีชาวต่างชาติเคยดำ scuba ลงไปดูด้วยนะว่ามีหมู่บ้านจริงรึป่าว เห็นบอกว่าเจอโรงเรียน บ้านคน แล้วก็มีคนเคยน๊อคน้ำด้วย ฉะนั้น อย่าดำลงไปลึกๆเลยนะ ว่ายธรรมดาก็พอ!! บางจุดลึก 150-300 เมตรเลยนะ
ไกด์พาไปดูแพนางไพร เป็นแพของอุทยาน อันนี้เหมาะสำหรับคนที่ชอบลุยๆ มาเป็นแก๊ง ฝรั่งงานดีๆเต็มเลยนะ 5555 ณเดชมาถ่ายเรื่องลมซ่อนรักที่นี่ด้วยนะ ว่าแล้วไกด์ก็ชี้แพที่ถ่ายละครให้ดู 555 (อันหลังคาเขียวซ้ายมือ)
แล้วก็ผ่านศาลพ่อตาโจงโดง พ่อตาเป็นเหมือนที่พึ่ง แรงยึดเหนี่ยวจิตใจของคนเดินเรือที่นี่ทุกคน ส่วนมากคนที่มาขับเรือที่นี่ก็เป็นชาวบ้านที่นี่แหละ พอเป็นเขื่อนเลยหันมาขับเรือกัน พ่อตาโจงโดงเป็นคนต้นน้ำคลองแสง มีเมียคนแรกชื่อแม่ยายทองตึง แล้วต่อมาก็เกิดไปชอบแม่ยายแก้วเลยจัดขบวนขันหมากไปสู่ขอ แต่เรือแตกตรงต้นน้ำคลองแสง บริเวณศาลปัจจุบันเชื่อว่าเป็นบริเวณที่พ่อตาปีนหนีน้ำขึ้นมาพร้อมสุนัขและแมว แต่สุดท้ายก็ตรอมใจเสียชีวิตที่ไม่สมหวังในความรัก ส่วนขันหมากก็ลอยไปติดตรงบริเวณเขาสามเกลอ เราจอดอธิษฐานตรงนี้สักพัก ไกด์บอกว่าท่านศักดิ์สิทธิ์มาก หลายคนกลับมาแก้บนที่นี่ โดยเฉพาะเรื่องความรัก และเราก็โชคดีได้เห็นค่างตัวเป็นๆหลายตัวแถวบริเวณนี้ แสดงว่าก็ยังอุดมสมบูรณ์มากนะ
ระหว่างทาง ภูเขาพวกนี้เป็นภูเขาหินปูน
โปรแกรมวันนี้ก็ชิวๆแล้ว เราเลยเล่นน้ำหน้าบ้านซะหน่อย ดำน้ำลงไปก็คือไม่มีอะไรเลยจริงๆ น้ำใสมาก เป็นน้ำจืดด้วย เล่นแล้วไม่เหนียวตัวเลย ทางแพมีเรือให้พายด้วย น้ำในเขื่อนจะนิ่ง พายนิดๆหน่อยๆก็ออกไปไกลแล้ว
มีที่นั่งลอยน้ำด้วย แต่เอาจริงๆมันหมุนเป็นวงกลม นั่งแล้วมึนหัว
หลังจากมื้อเย็น ตอนประมาณ 2-3 ทุ่ม ไกด์ก็จะพาไปทำกิจกรรมลอยกระทง ขอขมาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่นี่ เป็นกระทงขนมปังนะ น้องปลาเอาไปกินได้ (เราไม่ได้ถ่ายรูปไว้เพราะมืดมาก) กลับมาก็นอนพักผ่อน ดูทีวี เตียงนุ่มหลับสบายมาก
เช้าวันถัดมา เราตื่นแต่เช้า หกโมงนัดไปดูทะเลหมอก วันนี้หมอกไม่ค่อยเยอะเท่าไร แต่ก็สวยดีนะ อากาศดีมาก
พระอาทิตย์ขึ้นแล้วว
มีความหน้าสดและชับบี้มาก 5555
อาหารเช้าจ้าา อิ่มแปล้เลย มีชากาแฟ หนมปังปิ้งบริการด้วย ความจริงวันนี้เราต้องไปถ้ำ แต่ว่าช่วงนี้น้ำขึ้นเลยไปไม่ได้ T^T ฉะนั้นวันนี้ก็ชิวๆไป เราเล่นน้ำทั้งวัน คือพักผ่อนของจริง ว่ายน้ำเหนื่อยก็นอน ตื่นมาใหม่ก็ว่ายน้ำใหม่ 5555555555
อันนี้วิวด้านหลังแพ สวยมาก
อีกด้านนึงของแพ ตรงนี้ก็ถ่ายรูปสวย
นอนชิวๆอ่านหนังสือรับลม สุดท้ายหลับจ้าาา
พายเรือๆ น้ำนิ่งมากพายง่าย
วันที่สามวันนี้ต้องกลับแล้ว ทานข้าวเช้าเสร็จก็ออกเดินทางกัน พอมีสัญญาณปั๊ปไลน์ เฟสบุ้ค งานเด้งมาเต็ม 5555555 รถตู้ก็มารับเราไปเที่ยวต่อ พาไปถ่ายรูปบริเวณสันเขื่อน มีประวัติการสร้างเขื่อนอย่างย่อๆให้อ่านด้วย
สันเขื่อน อากาศดีๆ (หรออ)
อีกด้านของเขื่อน เป็นป่า
ออกจากเขื่อนก็ไปถ่ายรูปที่ภูเขารูปหัวใจ มีสะพานสวยๆให้ถ่ายรูปด้วยนะ
ถ่ายรูปสักพักได้เวลาไปหาของกินน หิวแล้วว เราไปที่ริมน้ำตาปี กินอาหารทะเล ร้านอาเตียซีฟู๊ด เค้าบอกร้านนี้เก่าแก่ และดัง เราสั่งมาหลายอย่างมาก หิวววว มีกุ้งเผา ปลาเต๋าเต้ย หลนปู และ อื่นๆอีกมากมาย จะบอกว่า อร่อยทุกอย่างเลยยยยย ราคาไม่ได้แพงมากด้วย แล้วเราไปเที่ยววัดโมกข์กันต่อ (อันนี้ขอเพิ่มเองจากโปรแกรมทัวร์ ต้องจ่ายเงินเพิ่มนะ) เป็นวัดที่ไม่เหมือนวัดเลย ร่มรื่นมากๆ มีประวัติ คำสอน ของท่านพุทธทาสภิกขุ เต็มเลย ทุกอย่างยังรักษาไว้อย่างดี
พี่คนขับ (เพิ่งมารู้ที่หลังว่านี่ก็เจ้าของรีสอร์ท เป็นคนพี่ -0-) พาไปวัดพระบรมธาตุไชยากันต่อ ไปถึงก็ค่อนข้างเย็นแล้วคนไม่เยอะเลย ไหว้พระขอพรกันเสร็จพี่เค้าก็พาไปบ่อน้ำพุร้อน อันนี้คือ unseen มาก 55555 อยู่ที่วัด ..... มีลานหินดวงจันทร์ แล้วก็น้ำพุร้อน ชาวบ้านจะมาแช่กันที่นี่ เค้าบอกแช่แล้วช่วยบำบัดโรค อาการดีขึ้น เราได้แช่ไปสักพัก แต่อากาศร้อน ก็เลยร้อนเข้าไปใหญ่ ฮ่าๆ
เที่ยวจนหมดวัน แล้วก็มานั่งรอที่สนามบินขึ้นเครื่องกลับบ้านจ้าาาา :) ทริปนี้ประทับใจทุกอย่างเลย ทั้งการบริการ วิวระดับพันล้าน มีโอกาสจะกลับมาพักที่นี่อีกแน่นอนนนน เห็นว่าตอนนี้เค้ามีแจกห้องพักฟรีด้วยนะ เข้าไปเล่นเกมส์ในแฟนเพจกันเลย  สุดท้ายขอบคุณรูปนี้จากพี่ตากล้องค่า ไว้พบกันใหม่จ้า อิอิ