พาชม CANADIAN ROCKIES ภาพสวยแค่ไหนก็ไม่เท่าได้เห็นกับตา

2 Aug 2018

มาแล้วรีวิวที่หลายๆคนรอคอยยยยย กับ Canadian rockies รีวิวนี้ตั้งใจเขียนมาก พยายามให้ได้ข้อมูลเยอะที่สุด หวังว่าทุกคนได้อ่านแล้วจะไปเที่ยวกันได้แบบเข้าใจและไม่หลงนะจ๊ะ

รีวิวทริปอย่างละเอียด

Day 3 Revelstoke
หลังจากอยู่ Vancouver มา 1 วันเต็ม วันนี้ได้เวลาออกเดินทางสู่ Rocky mountain แล้ว เราออกจาก Vancouver แต่เช้า ซึ่งระยะทางค่อนข้างไกล เลยจะแวะพักที่เมือง Revelstoke ก่อน 1 คืน ถนนที่นี่ บรรยากาศก็เหมือนอเมริกาเลยแหละ ขับไม่ยาก เราแวะพักรอบแรกที่เมือง Kamloops หาข้าวกลางวันกิน เจอ shopping mall เลยแวะที่ food court ก็กินอาหารจีนกับ poutine 555 ยืดเส้นยืดสาย และเดินทางต่อ เราผ่านภูมิประเทศและอากาศหลายแบบมาก ขับขึ้นมาบนเขาสูง 3,500 ft เลยแหน่ะ แต่ทางดีมากไม่รู้สึกน่ากลัวเลย เจอเมือง Salmon arms ที่วิวด้านนึงของเมืองเป็นทะเลสาบกว้างขวางสุดลูกหูลูกตา และเจอร้านขายของ organic ที่มีผลไม้และไอศครีมอร่อยมากๆด้วย
วันนี้ไม่ค่อยได้ถ่ายรูปเท่าไร เพราะขับรถเป็นส่วนใหญ่ จนมาถึงก็ค่อนข้างมืดแล้ว อากาศเย็นลงอย่างเห็นได้ชัด รีบอาบน้ำเข้านอนจ้า

เมื่อเราขับเข้าเขต Alberta จะถือว่าเราขับข้าม time zone เวลาจะเร็วขึ้น 1 ชั่วโมง อันนี้สำคัญมาก อย่าลืมเช็คเด็ดขาดเลย

Day 4

วันนี้ตื่นแต่เช้าเลย 6.30 น. เตรียมออกเดินทางต่อ วันนี้ก่อนไป Rocky mountain เราแวะที่ Revelstoke national park ตามที่เจ้าของโรงแรมบอกว่ามัน nice มาก แต่เสียเวลาเพราะหลง และลืมเติมน้ำมัน 555 คือป้ายบอกไม่ชัดเท่าไร ค่อนข้างสับสน 555 ใช้เวลาขับขึ้นไปข้างบนประมาณ 30 นาที มีฝนตกปรอยๆ แวะถ่ายรูปตามจุดชมวิว และขึ้นไปทะเลสาบข้างบนมา เสียดายว่าถนนเส้นนึงปิดไปเพราะเหมือนจะมี Grizzled bear
หลังจากนั้นขับยิงยาวไป Yoho เลย ใช้เวลาประมาณ 2.30 ชั่วโมง 198 กม มีแวะพักเติมพลังที่ Mcdonald เมือง Golden ระหว่างทางเจอฝูงแพะริม highway อีก (และนี่ก็เป็นสัตว์ฝูงเดียวที่เห็นใกล้ๆ ของทริปนี้ T^T)
Canadian rockies, Rocky mountain หรือ อื่นๆตามแต่จะเรียก (มีชื่อเยอะมาก) ประกอบด้วย 5 National parks มี 4 อันหลักๆด้วยกันคือ Yoho Banff Jasper และ Kootenay (ซึ่งเราไม่ได้ไป Kootenay เพราะเกิดไฟป่าพอดี) ซึ่งเชื่อมต่อกันเป็นเทือกเขาขนาดยาวมากและใหญ่มาก และมี Waterton อีกหนึ่งอันที่ไม่ได้ติดกับอันอื่นๆ จะอยู่ไปทางใต้ซึ่งคร่อม Canada-US border อยู่
เมื่อเข้ามาในเขต Rocky mountain เห็นชัดเลยว่าภูเขา ภูมิประเทศต่างๆสวยขึ้นอย่างชัดเจน 5555 เราตั้งใจจะแวะที่แรกที่ Emerald lake แต่ป้ายบอกทางค่อนข้างงงมาก และรถขับเร็ว จึงเลยทางเข้าไป 555 เลยไป Visitor centre ที่ Field ก่อนซึ่งเป็นเมืองเล็กๆที่นี่ เจ้าหน้าที่อธิบายดีมาก แผนที่ก็ทำมาดี ดูง่ายมาก
เราตีรถกลับไป Emerald lake น้ำทะเลสาบสีมรกตจริงๆ ในนี้มีรีสอร์ทด้วย บรรยากาศค่อนข้างดีเลย น่ามาพักมาก
ในเส้นเดียวกันนี้จะมีอีกที่นึงคือ National bridge แต่เราดันขับเลยๆเลยตามเลยไป
จุดหมายต่อไปคือ Takakkaw falls ซึ่งอยู่ไม่ไกลจาก Emerald lake แต่เมื่อไปถึง ปิดจ้า !! เพราะมี car accident ข้างในที่ค่อนข้างสาหัสสส โหยยยย เซ็งเลยยยยย T_____T เพราะเราคงไม่ได้ย้อนมาทางนี้แล้ว จะขับขึ้น Jasper เลย
หลังจากผิดหวัง แต่เอาเถอะ ไม่เป็นไร แค่เห็นวิวข้างทางก็ฟินแล้ว เราก็ขับต่อไปที่พักคืนนี้กัน ที่เมือง Canmore ซึ่งห่างจาก Banff ไปแค่ 20 กมเท่านั้น ราคาที่พักถูกกว่าด้วย เราเลือกวิ่งเส้น Bow Valley Pathway ที่ขนานกับ Highway ปกติ เพราะเค้าบอกว่าเส้นนี้เป็น scenetic route มีโอกาสเห็นสัตว์ป่าด้วย
แต่ ไม่เห็นอะไรเลยจ้า นอกจากนกตัวเล็กๆ เฟลลลลล T_____T มีแวะตามจุดชมวิวบ้าง แต่ก็เฉยๆนะ สุดท้ายมาแวะที่ Johnson canyon เป็นน้ำตกขนาดยาวววว มี Upper / Lower part และขึ้นไปจุดสูงสุดอีกได้ แต่เราไปถึงตอนประมาณ 6 โมงเย็นเลยเลือกแค่ lower fallระยะทาง 1.5 กม ใช้เวลา 30 นาที สามารถมุดหินเข้าไปใกล้น้ำตกได้ด้วย เห็นในภาพถ้าหน้าหนาวจะแข็งเป็กเลย คือสวยยยยยยยยยย
เราถึงที่พักประมาณ 2 ทุ่มกว่าๆ แต่ยังสว่างอยู่ หิวข้าวมากก ไปร้านอาหารเค้าก็ last order ไปแล้วอดกิน ดีว่าที่พักเป็นเหมือน apartment มีครัวครบครัน เลยไปแวะ Save on food ซื้อของมาเข้าครัวทำอาหารเย็น มาเที่ยวแบบนี้ทำอาหารกินเองอร่อยที่สู๊ดดด

Day 5

เตียงนอนหลับสบายมาก ตื่นมา7.30 ก็มาทำ breakfast กัน เอ้อระเหยจนถึง 10 โมงกว่าๆถึงได้ออก วันนี้เราจะไปเที่ยว Banff national park ซึ่งห่างจาก Canmore แค่ 20 กิโลเท่านั้น ขับรถประมาณ 15-20 นาทีก็ถึงแล้ว สบายมาก
Banff ถือได้ว่าเป็น highlight ของทริปนี้เลย ภาพสวยๆที่เห็นตามเว็บต่างๆส่วนมากก็มาจากที่นี่แหละ ตอนแรกเราค่อนข้างงงมากเลยว่าจะเที่ยวยังไงดี แต่พอเราเอามาปักลงใน map แล้ว จะเห็นว่าที่เที่ยวจะแบ่งเป็นโซนได้ชัดเจน มีในเมือง และอีกด้านของเมือง ก็สรุปได้ตามนี้เลย
วันนี้เราจะไปเที่ยวในส่วนของ Lake Minnewanka loop road จะเป็นถนนที่ตัดเข้าไปถึง Lake Minnewanka โดยอยู่อีกฝั่งนึงของตัวเมือง Banff มีถนน Trans Canada highway คั่นตรงกลาง
Loop road นี้ไม่ได้มีแค่ Lake Minnewanka นะ มีที่เที่ยวอีกหลายที่เลย เราก็จะค่อยๆแวะเป็นจุดๆไป
เริ่มจากเมื่อขับเข้ามาใน loop จะเจอ Cascade ponds เป็นบึงท่ามกลางภูเขา ตอนไปถึงแดดออกพอดี
แสงแดดที่กระทบน้ำ สีออกมาสวยมาก มีสะพานให้เดินข้ามไปถ่ายรูปด้วย สามารถปิกนิกได้อีกด้วยนะ
ที่ต่อมาจะมีจุดตั้งแคมป์ได้ คือ Upper bankhead และ lower bankhead โดยจะมี Trail ให้เดินชมธรรมชาติอีกด้วย
และเราก็มาถึง Lake Minnewanka ที่มีขนาดใหญ่มากกกกก ยาวถึง 20 กม กว้าง 2 กม มาถึงตรงนี้น้ำเป็นสีฟ้าสวยมากกกกกกก กิจกรรมที่ทะเลสาบนี้มีให้เลือกหลายอย่างทั้งเดิน trail ไปจุดชมวิว นั่ง cruise ชมวิว พายเรือ Scuba driver ก็มี!
เราเลือกเช่า motor boat ชั่วโมงละ 80$ คุ้มกว่าไปนั่ง cruise ที่คนละ 60$ เรามอบหน้าที่ให้น้องชายเป็นคนขับ นั่งเรือแบบนี้ชิวมาก แนะนำให้มาขับกันเลย ขับง่ายมาก จะมีเจ้าหน้าที่สอนก่อนถ้าขับไม่เป็น โดย motor boat ห้ามเข้าใกล้ฝั่งเป็นระยะ 10 เมตร เพราะมีโขดหินอาจเกิดอันตรายได้
มีวิวถ่ายรูปสวยๆเยอะมากก แนะนำให้ค่อยๆเที่ยวและซึบซัมธรรมชาติที่นี่ เป็นอะไรที่ดีมากจริง
ที่ National park ของที่นี่จะมี Gimmick ที่น่ารักมากๆ คือ เหมือนมีภารกิจให้เราตามล่าเก้าอี้สีแดง ซึ่งจะอยู่ตามที่เที่ยวต่างๆ วางคู่กัน 2 ตัว ตามในภาพเลย ถึงกับมีคนทำ Red chair guide ออกมาเลยนะ !
เสร็จจากที่นี่ เราไปต่อกันที่ Two jack lake ซึ่งอยู่ติดกัน จริงๆคือทะเลสาบเดียวกัน แต่เหมือนจะมีเป็นทางน้ำกั้น ที่นี่ค่อนข้างชิวกว่าเยอะ เหมาะกับการมาปิกนิก พายเรือชิวๆ มีนกนางนวลด้วย
ถัดมาอีกหนึ่งที่ คือ Johnson lake อันนี้ก็ขับเข้ามาต่อจาก Two Jack lake ได้เลย จะค่อนข้างปลีกวิเวกหน่อย อันนี้ค่อนข้างสงบ มี trail ให้เดินรอบทะเลสาบยาว 2 กม ด้วย
จากนั้นมีเวลาเหลือ เลยเข้าไปเดินเล่นใน Banff downtown เมืองน่ารักมากๆ หากใครเคยไป Interlaken ที่ Switzerland มา จะบอกว่าเหมือนกันเลย น่ารักมากๆ ถ้าสังเกตดีๆเมืองนี้จะตั้งชื่อถนนเป็นชื่อสัตว์ Bear Wolf Coyote มีหมด เราเดินมาเจอร้าน Beavertails ขายขนมที่มีแค่ที่แคนาดาเท่านั้นนะ เค้าบอกว่าขนมเนี่ย เหมือนหางบีเวอร์ 555 สั่งมาลอง 2 รส Oreo&Vanilla กับ Choco banana ตัวขนมเป็นแป้งทอดกรอบ ราดหน้าต่างๆ อร่อยดี แป้งหอมๆ topping ก็ให้เยอะ
และวันนี้เลยกลับมาพักที่โรงแรมได้เร็ว ชาร์ตพลังสำหรับวันต่อไป

Day 6

ตื่นมาพร้อมกับเห็นรูปใน IG คนอื่นว่า เมื่อคืนที่นี่เห็นแสงเหนือโว้ยยยย เห็นชัดมากกกก เรานี่แบบช๊อคคคคคคค ไม่ได้ทำการบ้านมาก่อนเว้ยยยยย เฟลมากกกก ก ไก่ล้านตัว (เราไปหาข้อมูลมา ที่นี่เห็นแสงเหนือได้เรื่อยๆนะ อยู่ที่ดวงเลยว่าพกมาแค่ไหน ดูได้ทุกที่ๆฟ้าเปิดและไม่มีแสงไฟ T^T เค้านิยมไปดูกันที่ lake minnewanka กัน)
วันนี้เน้นเที่ยวฝั่งตัวเมือง Banff แบบชิวๆไม่รีบร้อนอะไร ออกจากที่พัก 10 โมง ตรงดิ่งไป Banff เลย
เราไปชมวิวที่ Banff Surprise Corner เป็นวิวฝั่งตรงข้าม Banff spring hotel ด้านล่างเป็น Bow river อากาศดีเลย และตรงที่จอดรถมีทางเดินลงไปด้วยเลยลงไปสำรวจซะหน่อย มี Hoodoo Trail ให้เดินไปทาง Tunnel mountain ได้ เลยลองเดินดู ระยะทางประมาณ 3.6 กม เป็น Trail ที่เดินเลียบ Bow river อากาศเริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆ แต่ได้อยู่ใกล้แม่น้ำ วิวสวยมากกกกกกก
เดินไปสักพักถามคนที่เดินกลับมา บางคนบอกไม่ไกล บางคนบอกไกล บางคนบอกขับรถขึ้นไปเถอะ 555 เดินไป3 กมได้เลยเดิมกลับ เพราะคงขึ้นเขาไม่ไหวแล้ว 5555
พอเสร็จมาหาของกินในตัวเมืองเจอร้าน Chaya ขายอาหารญี่ปุ่น น่ากินมาก แต่รอคิว 1 ชั่วโมง ที่เฟลกว่าคือ มีคนยกเลิกคิว แล้วพนักงานเอาคิวให้คนใหม่ที่เพิ่งมา ควรจะรันคิวมั้ยอะ เฟลลลลลล เลยหนีไปซบอกอาหารไทยที่ร้าน ผัดไท แทน ต้มข่าไก่อร่อยดี

เดินเล่นในเมือง เจอคนเข้าคิวยาวหน้าร้านไอศกรีม เลยไปต่อกับเค้าด้วย 555 เราสั่ง Maple walnut กับ Birthday cake อร่อยมากทั้งสองรสเลย Birthday cake รสชาติเหมือนกินเค้กวันเกิดแต่เย็นๆ อร่อยยยยย >_<
เราขับรถไปที่ Bow fall viewpoint ด้านหลังของเมือง ซึ่งก็คือฝั่งที่เรามองจาก Banff surprise corner นั่นแหละ แต่แบบใกล้น้ำตกมากขึ้น
ถ้าขับต่อไปข้างในจะเจอสนามกอล์ฟที่วิวดีมากกกกกกกก

เราขับขึ้นไปดู Banff Spring hotel ข้างบนเหมือนเป็นเมืองเลย

หลังจากนั้นขับรถไปชมวิวที่ Tunnel mountain ซึ่งวันนี้อากาศร้อนมากกกก แวะถ่าย 1-2 จุดก็พอแล้ว 5555 ตอนแรกว่าจะกลับเลย แต่คิดได้ว่ามี Castle mountain viewpoint หนิหน่า ดูจากในแผนที่ๆได้มาไม่ไกลด้วย เลยขับไป แต่หาไม่เจอ 55555 เลยวนรถกลับ เจอจุดชมวิว Vermillion lake และลองอ่านที่ป้าย มีบอกว่ามี scenetic route เลยลองขับไปดู (อีกแล้ววว) เป็นถนนเลียบทะเลสาบเส้นเล็กๆ วิวสวยดีนะ หลังจากนั้นก็กลับที่พัก พรุ่งนี้จะได้ไป Lake louise แล้ว
Day 7

ก่อนตรงไป Lake louise เรามีแวะเที่ยวในเมือง Canmore นิดหน่อย เพราะตั้งแต่มายังไม่ได้เข้าไปในเมืองเลย เลย town center ขึ้นไปก็มี Quarry lake, Spray lakeGoat pond น้ำใสมากกก มีคนมาว่ายน้ำเล่นน้ำกันพอสมควร แดดแรงเลยวันนี้
แล้วเราก็ตรงดิ่งมาที่ Lake louise เลย ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ระหว่างขับมารถก็เตือนว่า ให้หยุดพัก ขับมากเกินไปแล้วนะ 5555 ฉลาดมากกกกก คืนนี้เราพักที่ Lake Louise Inn โชคดีกว่ามาถึงได้ห้องเลย เก็บของเสร็จเราก็ไป Lake Louise กัน
และก็พบว่า คนเยอะมากกกกกกกกกกก ที่จอดนี่แทบไม่พอ
แต่โชคดีเราได้ช่องพอดี กิจกรรมที่อยากมาทำที่นี่คือพายเรือ รู้เลยว่าแพง แต่มาแล้วต้องพาย เรือ 1 ลำ ได้ 3 คน 110$ ที่แพงเพราะคงเป็นของโรงแรม เราพายไปชั่วโมงนึง ไปจนสุดอีกด้านนึง ไกลมากกก วิวก็สวยมากเช่นกัน ขากลับเพลินไปหน่อย จ้ำกลับมาเลยด้วย เหนื่อยมาก
ถ้าใครมีเวลา สามารถเดินไป lake Agnes ได้ เป็นทะเลสาบมีร้านชา อยู่กลางหุบเขา แต่เราอยากไป Moraine lake มากกว่า

Moraine lake จะเปิดให้รถส่วนตัวเข้าในช่วงฤดูร้อนเท่านั้น ต้องขับรถเข้าไปประมาณ 20 กิโลเมตร มีโรงแรมริมทะเลสาบด้วย มี trail ทั้งหมด 7 เส้นทาง เราเลือกเบอร์ 1 Moraine lake lakeshore และเบอร์ 2 rockpile ที่พลาดไม่ได้

เข้ามาถึงเห็นคนปีนกองหินกันใหญ่เลยบ้าปีนด้วย วิวสวยมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ แทบจะลืมหายใจ วิวมุมนี้เค้ามีชื่อเรียกว่า Twenty Dollar View เพราะมุมนี้อยู่ในธนบัตร 20$ ตอนปี 1969-1979 เมื่อยิ่งสูง สีของน้ำที่มองก็เปลี่ยนไปสวยมากกกกกกกกกกกก เมื่อถ่ายรูปจนเสร็จก็พบว่า จริงๆมันเดินอ้อมด้านหลังได้อะ ง่ายมากด้วย 555555
เรากลับไป Lake Louise อีกรอบเพราะแสงตอนบ่ายๆมันแข็งไป กลับมาอีกครั้งคนเริ่มเบาบางไปพอสมควร ได้รูปดีๆมาอีกเพียบเลย
จะบอกว่าแถวนี้ไม่ค่อยมีอะไรกินเท่าไร โรงแรมที่เราพักไม่มีครัวด้วย เย็นนี้เลยกะว่า diet เอา ไม่ค่อยหิวเท่าไร อิอิ

Day 8
วันนี้จะเดินทางไป Jasper แล้วจ้า โดนขับรถตรงขึ้นไปจาก Lake Louise เลย ถ้าไม่แวะพักใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง แต่เราแวะเที่ยวด้วย เพราะ highlight ก็อยู่แถวนี้หลายที่เลย เราใช้เวลาทั้งวัน
เส้นที่ขับไป Jasper นี้มีชื่อว่า Icefield parkway จุดแรกที่จะผ่านคือ Hector lake ซึ่งจะอยู่ฝั่งตรงข้ามกับ Mt hector สังเกตง่ายๆคือที่ไหนมีภูเขา จะมีทะเลสาบ ถ้ามีจุดกำเนิดจากจุดเดียวกัน ก็จะชื่อเหมือนกัน
ต่อมาเป็น Crowfoot Glacier เป็นธารน้ำแข็ง 3 แฉก มีลักษณะคล้ายตีนกา แต่ตอนนี้ global warming มาก ทำให้แฉกสุดท้ายเริ่มละลายไปบ้างแล้ว ไม่สวยเหมือนสมัยก่อน อันนี้เราจอดข้างทางแล้วรีบวิ่งลงไปถ่าย ไม่มีที่จอดรถ
Lake ต่อไปของวันนี้คือ Bow lake ทะเลสาบขนาดใหญ่อีกแห่ง ตรงนี้จะมี Guest house เล็กๆชื่อ Num Ti Jah hotel บริเวณนี้ถ้ามาทัวร์เค้าจะมาจอดที่นี่ให้เดินเล่นถ่ายรูปได้ ขับมาเองก็จอดได้เหมือนกัน ลมค่อนข้างแรงเลย แนะนำให้พกเสื้อกันลมไว้ด้วย ตัวจะปลิว แต่สวยมาก
อีกหนึ่ง Highlight ที่พลาดไม่ได้คือ Peyto lake ทะเลสาบที่มองจากด้านบนมีลักษณะเหมือนจิ้งจอก ซึ่งถ้าอยากเห็นวิวนี้ เราต้องเลี้ยวเข้าตรง Bow summit and Peyto lake viewpoint จะถึงก่อนทะเลสาบ มีป้ายบอกทางชัดเจน สามารถขับรถขึ้นไปได้เลย เดินไม่ไกลก็ถึงจุดชมวิว แต่คนเยอะมาก เพราะนี่คือมุมไฮไลท์ของ Canadian rockies อีกที่หนึ่ง ตอนเราไปถึงฝนก็ตกพอดี แต่ในความโชคร้าย ยังมีความโชคดี คือ รุ้งกินน้ำโผล่มาทักทาย และเราก็ได้ภาพมาด้วย
ยังไม่หมดกับ Lake ที่นี่ทะเลสาบเยอะมากๆ แต่เราไม่เบื่อเลยนะ ที่นี่ทะเลสาบจะเป็นสีฟ้า ไม่ก็เขียวมรกต สีพวกนี้เกิดจากแร่ธาตุบริเวณนี้ และ ความเข้มของแสงที่พอเหมาะด้วย ไหนๆมาแล้วก็ขอซึบซับมันไว้นานๆ ทะเลสาบถัดไปคือ Waterfowl lake ตอนเราไปถึงนี่ลมแรงมากตัวจะปลิว ให้เราจอดรถตรงแถวๆ campground แล้วเดินตรงไปทางแม่น้ำ จะเจอสะพานไม้ เราเดินไปทางซ้าย จะเป็น Upper lake เดินประมาณ 5-10 นาที จะเห็นเป็นทะเลสาบกว้างๆ มีโต๊ะไม้ให้นั่งพัก 1 ตัว เหมือนเป็น landmark ว่า ชั้นมาถึงแล้วนะ 5555
จากทะเลสาบ มาถึง canyon หรือ หุบเขาที่เป็นร่องลึกลงไปบ้าง จุดนี้เรียกว่า Mistaya canyon บริเวณที่เป็นหุบเขาลึกเราจะได้ยินเสียงกระแสน้ำดังซู่ๆมาแต่ไกลเลย ที่เป็นหุบเขาลึก ก็เพราะเกิดจากกระแสน้ำที่แรงเซาะหิน กัดกร่อนไปเรื่อยๆหลายร้อยพันหมื่นปี เป็นรูปร่างที่สวยงามมาก ธรรมชาตินี่มหัศจรรย์จริงๆ เวลาเดินต้องระวังด้วย จากตรงนี้สามารถเดินถ่ายรูปได้ แต่ต้อง ระมัดระวังสุดๆนะ ตกไปนี่อาจจะเละได้เลย
จากตรงนี้ เราขับรถต่ออีกสักพักใหญ่ จริงๆแล้วมีที่เที่ยวมากกว่านี้อีกนะ ส่วนมากจะเป็น trekking hiking ซึ่งต้องใช้เวลาอาจจะหลายชั่วโมงหรือเป็นวัน ที่นี่มี trail เยอะมากๆ อาจจะลองหาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนไปนะจ๊ะ ดูเพิ่มเติมในนี้ได้ http://www.canadianrockies.net/
สุดท้ายของวันนี้ คือ Athebasca falls + Canyon มีส่วนที่เป็นน้ำตก และ canyon ซึ่งเราสามารถเดินไปดู canyon ได้เลย มีหลายระดับมาก ถ้าเดินทั้งหมดใช้เวลาเป็นชั่วโมง เราก็เดินนิดๆหน่อยๆ เพราะอากาศไม่ดี และเริ่มเย็นแล้วด้วย ยังไม่ถึง Jasper ซะที
ขับมาอีกสักพักก็มาถึง Jasper แล้ว เป็นเมืองเล็กๆที่ดูสงบมาก ต่างจาก Banff ที่ค่อนข้างคึกครื้น ที่นี่ไม่มีตึกสูงเลย อย่างมากก็ 2 ชั้นเท่านั้น เราหิวกันมากๆคิดอะไรไม่ออกเลยขอฝากท้องไว้กับ KFC เวลานี้อะไรๆก็อร่อยหมด
เราพักที่ Best Western Jasper Inn & Suites 1 คืน ก่อนพรุ่งนี้จะย้ายไปพักแบบ Bed&Breakfast สามารถค้นหาที่พักได้จากที่นี่ 

โรงแรมที่ Jasper มีน้อยมาก ควรจองแต่เนิ่นๆสัก 6 เดือนล่วงหน้า แต่เราแนะนำให้นอน Bed& breakfast นะ เพราะเกือบทุกบ้านทำหมดเลย ราคาถูกกว่าหลายเท่าตัว และโฮสก็น่ารักมากๆ

Day 9

หลังจากนอนหลับอย่างเต็มอิ่ม วันนี้ก็เที่ยวต่อใน Jasper เลย ตอนเช้าเรา check out จากโรงแรมแล้วเอาของไปเก็บที่บ้านโฮสที่เราจะพักในคืนต่อๆไปทั้งหมด Jasper เป็นเมืองเล็กๆ ขับรถไม่ถึง 5 นาทีก็ถึงบ้านแล้ว เค้าจัดห้องไว้น่ารักมากๆ เป็นโทนสีชมพูหวานแหวว มีสองเตียงนุ่มๆ
การเที่ยวใน Jasper ก็คล้ายๆกับ Banff เราจะ grouping ที่เที่ยวที่ไปในเส้นทางเดียวกันไปด้วยกัน เราสามารถไปขอรายละเอียดหรือคำแนะนำเพิ่มเติมได้จาก Visitor center ตรงกลางเมืองได้เลย หรือเจ้าหน้าที่ National park ที่ใส่เสื้อสีเขียวเข้ม ซึ่งมักจะเจอตามจุดท่องเที่ยวต่างๆ
วันนี้เราจะไปเที่ยวที่เรียกว่า Maligne loop ที่ออกห่างมาจาก Jasper downtown ไม่ไกลมากเท่าไร ปักหมุดใน Google map ไม่หลงทางแน่ๆ จุดแรกที่ไปถึงจะเป็นจุดชมวิว ก่อนถึง Maligne canyon เป็นจุดชมวิวแบบ 360 องศา มีป้ายบอกจุดสังเกตต่างๆทั้งภูเขา หุบเขา แม่น้ำต่างๆ เห็นวิวในมุมสูงแบบนี้ก็สวยไปอีกแบบดีนะ
ถัดมาไม่ไกลคือ Maligne Canyon เป็น canyon ที่มีชื่อเสียงอีกที่ เกิดจากกระแสน้ำที่กัดเซาะร่องหินไปเรื่อยๆนั่นแล มี trail ให้เดินได้หลายเส้นทางมากๆ ส่วนเราขอไม่อยู่นานมาก เพราะต้องไปแวะอีกหลายที่
ขับมาอีกสักพัก เห็นว่า 2 ข้างทางมีแต่ต้นไม้ที่ดำเป็นตอตะโก มีลำต้นไม่มีใบเกือบทั้งหมด เพราะเพิ่งเกิดไฟป่าไปไม่นาน เพิ่งเคยเห็นร่องรอยไฟป่าชัดๆก็คราวนี้แหละ กินพื้นที่ไปหลายร้อยไร่เลย
มาถึง Medicine lake ดูน้ำค่อนข้างน้อยและดูแล้งพอสมควรเลย ดูจากระดับน้ำเหมือนจะลดและต่ำกว่าปกติ ถ้าระดับน้ำสูงน่าจะสวยกว่านี้ สักพักก็มีเจ้าหน้าที่อุทยานมาให้ความรู้ เอาพวกเขากวางมูส หนังหมี รูปรอยเท้า มาให้ดูด้วย
จากนั้นถนนเส้นเดิม ก็ขับเลียบ medicine lake ไปสักพักใหญ่ เราก็มาถึง highlight ของทริปนี้คือ Maligne lake นั่นเอง
ขับเข้ามาลึกพอสมควรเลย แอบหลับไปตื่นหนึ่ง
เป็นทะเลสาบกลาง middle of nowhere จริงๆ และมีขนาดใหญ่มากๆด้วยยาวถึง 22.5 กิโลเมตร และมีส่วนที่ลึกที่สุดถึง 97 เมตร โดยรอบๆทะเลสาบจะเป็น trail ให้เดิน มีเยอะมากๆ สามารถเดินเข้าไปถึง Spirit island ได้นะแต่อาจใช้เวลาเป็นวัน ไปตั้งแคมป์เอา 555 ก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่บอกว่า มีคนเจอกวางมูสแถวนี้ด้วย น้องกับพ่อแม่เราเลยแยกไปเดิน trail นี้ ส่วนเราจะไปล่องเรือไปที่ Spirit island กันจ้า ซึ่งที่นี่มี activities ให้ทำหลายอย่างเลยนะ จะพายคายัคก็มี ถ้ามีแรงจะพายไป 22.5 กิโลเมตรเลยก็ได้ 555
ตั๋วล่องเรือไป Spirit island ราคาค่อนข้างสูง ประมาณ 70+$ เพราะต้องนั่งเข้าไปค่อนข้างไกลเลย เป็นชั่วโมงได้ เรือค่อนข้างโอเค ดูแข็งแรงและปลอดภัย โดยจะมีเป็นรอบๆ ถ้าเราจอง online ไปก่อนราคาจะถูกกว่า 10% จองได้ที่นี่ https://www.banffjaspercollection.com/attractions/maligne-lake-cruise/

นั่งเรือนานจริงๆ มีแอบหลับไปด้วย ระหว่างเดินทางจะมีไกด์คอยเล่าเรื่องให้ฟัง เค้าค่อนข้างตลกมาก มีการบอกว่า ช่วงแรกๆที่เปิดไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวมาเลย เพราะขับรถมาไกลมาก เค้าเกือบไม่มีงานทำแล้ว เลยมีคนคิดgimmick ขึ้นมาให้ทีมงานใส่ชุดเป็นกวางมูส โผล่ออกมาจากป่า พอนักท่องเที่ยวเห็นไกลๆคิดว่าของจริง มีถ่ายรูปไปลง social ที่นี่เลยดังขึ้นมา 5555 ก็ไม่รู้จริงรึป่าว
ในที่สุดก็นั่งเรือมาถึง Spirit island เป็นเกาะที่เล็กมากมากก (อาจจะไม่ต้องเรียกว่าเกาะก็ได้ 555) ด้วยขนาดและต้นไม้ที่ขึ้นอย่างสวยงามเป็นเอกลักษณ์ของที่นี่ จึงเป็นอีกจุดที่นักท่องเที่ยวนิยมบากบั่นมาถ่ายรูปมันเอามากๆ เราได้อยู่บริเวณนี้ประมาณ 20-30 นาทีเท่านั้น สั้นมากๆ ก็วิ่งๆรีบหามุมถ่ายรูปแล้วขึ้นเรือกลับ ห้ามขึ้นไปบนเกาะนะ เพราะเค้าต้องอนุรักษ์ไว้ ระหว่างทางก็จะเห็นคนมาตั้ง camp พายเรือ กันเป็นระยะๆ ยิ่งเข้ามาลึกยิ่งหนาวนะ
สรุปน้องเราได้เจอกวางมูสจริงๆด้วย 555 แต่เห็นระยะไกล เค้าบอกเดินเข้าไปไกลมากเห็นนิดเดียวเอง

ช่วงนี้กลางวันจะยาวนานมากจริงๆ เรามีเวลาเหลือเลยแวะไป Lake Annette ที่อยู่แถวๆทางเข้า Maligne loop มาถึงในช่วงแดดอ่อนๆพอดี มีบริเวณเป็นทรายดูดด้วยนะ
เราหิวโซมาก วันนี้แทบไม่ได้กินอะไรจริงๆจังๆเลย เมื่อกลับเข้ามาในเมือง เลยกินอาหารจีนนีแหละ ข้าวคือใช่ที่สุดแล้วตอนนี้ น่าจะเป็นร้านอาหารจีนร้านเดียวในเมือง อร่อยมากกก ข้าวผัดคือใช่ อร่อยน้ำตาไหล 55555
Day 10

หลังจากที่เลื่อนตั๋ว Columbia icefield ออกไป วันนี้ก็ได้เวลากลับไปที่นี่อีกรอบ ออกจากบ้าน 9 โมงเช้า ขับไปประมาณชั่วโมงครึ่ง วันนี้อากาศดีมากเลยยยยย คิดถูกจริงๆที่เลื่อนมา เราจองไว้รอบ 10.45 น. คนยังไม่เยอะมากเท่าไร
เราต้องไปขึ้นรถบัสรวมกับคนอื่นๆเพื่อจะขึ้นไปยัง glacier แล้วไปต่อรถพิเศษที่ขึ้นไปข้างบนเฉพาะ ไกด์บอกว่า รถเนี่ย คันละ 3.1million$ !!! โว้วววววววววว Anthebasca glacier เป็นธารน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดเมื่อก่อนสมัยยุคโบราณกาล บริเวณนี้เป็น Glacier ทั้งหมด มีหลายๆอัน แล้วค่อยๆละลายจนมีแผ่นดิน สิ่งแรกที่ทำให้ form เป็นแผ่นดินได้ คือ น้ำ
เค้าให้เวลาตามสบายถ่ายรูป 45 นาที มีคนเอาขวดมากรอกน้ำกันใหญ่ เราเลยไปลองชิมบ้าง ฮ่าๆ รสชาติมีดินปนๆด้วย แต่ก็สดชื่นดี โชคดีว่าลมไม่แรงมากเลยไม่หนาวเท่าไร
เสร็จจากจุดนี้ เราก็ไปต่อกันที่ Glacier Skywalk เป็นทางเดินที่พื้นใสๆ หวาดเสียวๆนิดหน่อย ตรงนี้เราจะใช้เวลานานเท่าไรก็ได้ มีรถทุก 15 นาที สามารถขอ free audio guide มาฟังด้วย ชอบที่นี่ตรงมีสอดแทรกความรู้อยู่ทุกจุดเลย ฟังเพลินอ่านเพลินมาก เค้าบอกบริเวณนี้จะเจอ แพะภูเขา หมี ได้ แต่เราไม่เจออะไรเลยจ้า(อีกแล้ว)
เสร็จจากทัวร์นี้ประมาณเกือบบ่าย 2 หิวข้าวมากกก เลยรีบตรงยิงยาวกลับเข้าเมืองเลยจ้า กลับมากินอาหารจีนอีกเช่นเคย อร่อยเหมือนเดิม ยังไงกินข้าวก็อยู่ท้องที่สุด เสร็จแล้วเดินเล่นในเมือง ไปกินขนมร้าน Bear Paws bakery ดูจาก Tripadvisor ได้ที่ 1 คนเยอะเข้าออกตลอดเวลา ขนมอร่อยดี เครื่องดื่มก็ดี ราคาไม่แพงเลย
เราไปเที่ยวต่อกันที่ Pyramid lake ขับจากในเมืองแค่ 10 นาทีเท่านั้น ในทะเลสาบมีเกาะเล็กๆด้วย ชื่อ Pyramid island คนไม่เยอะเท่าไร อากาศดี
และใกล้ๆกับที่นี่ ก็ยังมี Patricia lake ที่นี่จะค่อนข้างชิวและน้ำใสกว่า วันนี้เราสบายๆ นั่งเอาเท้าแช่น้ำเป็นอะไรที่ดีมาก
กลางคืนนี้เราจะไม่หลับไม่นอน เพราะเราจะไปดูดาวกันจ้า Jasper ได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่เหมาะกับการดูดาวมากๆ เพราะเมืองเล็ก แสงไฟก็ไม่เยอะ แค่ขับรถออกไปนอกเมืองนิดเดียว อยู่ที่มืดๆ ก็เห็นแล้ว เราเลยเลือกที่ๆไม่ไกลจากบ้านนั่นก็คือ pyramid lake ที่อยู่เพิ่งไปมาตอนเช้า เราไปประมาณช่วง 2 ทุ่มกว่าๆ ฟ้ายังไม่มืด เพราะไม่ชินทางเท่าไร รอจนมืดจริงๆเกือบ 4-5 ทุ่มได้ ยืนอยู่กลางทะเลสาบกันนั่นแหละ 55555 และก้ได้ภาพอย่างที่เห็นมา ฟินสุดๆ (อันนี้ลองหัดถ่ายแบบงูๆปลาๆ)
Day 11

วันสุดท้ายที่ Jasper แล้ว วันนี้ค่อนข้างชิลมากเพราะเราเก็บที่ๆอยากไปได้ครบแล้ว จริงๆอีกที่ถ้ามีโอกาสอยากจะไปtrekking คือ Mt. Edith Cavell ซึ่งต้องไปขอ permit ตอนเช้าของวันที่จะไป เพราะจำกัดนักท่องเที่ยว แต่ทริปนี้มากับครอบครัวเลยอาจจะไม่เหมาะเท่าไรนัก เราเลยเลือกไป The Valley of five lakes โดยขับกลับมาทาง icefield parkway ไม่ไกลมากเท่าไรจะถึงที่จอดรถ แล้วต้องเดิน trail เข้าไปประมาณ 1 กิโลเมตรถึงทะเลสาบ ไม่ได้เป็นทางตรงๆนะ มีปีนป่ายบ้างนิดหน่อย
อาจจะไม่ต้องไปทุก lakes ก็ได้ แล้วแต่เลย ซึ่งจะมีป้ายบอกทางเป็นระยะๆว่าไปทางไหน แต่เราก็เดินจนครบ เพราะสามารถเดินวนเป็น loop ได้ระยะทางทั้งหมดประมาณ 4.5 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง บาง lake สามารถลงไปเล่นน้ำได้ด้วย เจอน้องหมาเต็มไปหมดน่ารักมากๆ lake ที่ไม่ควรพลาดคือ 3 กับ 4 แต่จริงๆสวยทุกอันเลย สวยคนละแบบ น้ำจะสีเขียวบ้างฟ้าบ้าง
ตอนบ่ายเราไปเยี่ยมชมโรงแรม Fairmont Jasper lodge โรงแรมเครือนี้หรูหราทุกที่ ที่นี่ใหญ่มากเช่นกัน มีหลายส่วนเลย lake ของโรงแรมสวย สระว่ายน้ำติด lake เลยจ้า วิวดีมาก
ตอนเย็นอยากกินร้านญี่ปุ่น ราคาโหดพอสมควร แต่ก็พอเข้าใจได้อยู่ 5555