รีวิวขับรถบ้านเที่ยวอลาสก้า 8 วัน

10 March 2022

ทริปอลาสก้ากับการขับรถ RV ครั้งแรก!!!

ทริปที่เกิดขึ้นแบบงงๆจากการชวนของน้องสาวเรา ทำให้ต้องรีบเคลียร์งานทั้งหมดภายใน 2-3 สัปดาห์เพื่อบินไปเจอที่ลอสแองเจอลิส เราเดินทางด้วยสายการบิน Delta ซึ่งเป็นไฟล์ทบินตรง LA – ANC ราคาประมาณ 3xx USD ซึ่ง แพง เพราะเราจองช้า และการมาลงเมือง Anchorage จะมีราคาค่อนข้างสูงด้วย (เพราะจองไปลง Fairbank ไม่ทัน ถูกกว่าครึ่งนึงเลย) และที่โชคดี (หรือโชคร้ายก็ไม่รู้) รถ RV ที่เราได้ เป็นคันสุดท้ายของในอลาสก้าเลย เนื่องจากช่วง summer ประมาณเดือน สิงหาคม-กันยายน จะเป็น high season ของที่นี่มากๆ ผู้คนต่างหลั่งไหลกันมาไม่ขาดสาย เพราะแทบจะเป็นฤดูกาลเดียวที่เที่ยวได้ทั่ว และพระอาทิตย์ตกประมาณเที่ยงคืนและขึ้นประมาณตี 4 ก็คือเที่ยวได้เกือบทั้งวันเลย สามารถมาปีนเขา ตกปลา ขึ้นเฮลิคอปเตอร์ ขับรถเที่ยวรอบๆ แต่หากเป็นฤดูหนาว อาจจะสว่างแค่ 2 ชั่วโมงเท่านั้น โดยถนนแทบจะโดนหิมะปกคลุมเกือบทั้งหมด แต่ก็จะเป็นฤดูกาลที่มาล่าแสงเหนือ มีสุนัขลากเลื่อน นอนใน igloo ก็จะสนุกไปอีกแบบ

พูดอลาสก้าคร่าวๆ

อลาสถ้าถือได้ว่าเป็นรัฐที่มีพื้นที่เป็นอันดับต้นๆของสหรัฐอเมริกา มีพื้นที่เกือบ 2 ล้าน ตร.ม. เลย แม้จะมีขนาดใหญ่ แต่ประชากรค่อนข้างเบาบางมาก และมักจะอยู่กระจุกกันที่เมือง Anchorage เป็นหลัก เมืองหลวงชื่อว่าจูโน อลาสก้าเป็นรัฐที่ 49 และเป็นรัฐเดียวที่ไม่ได้มีอาณาเขตติดต่อกับส่วนอื่นในประเทศ ซึ่งจะอยู่ทางซ้ายของรัฐ Yukon ของประเทศแคนาดา สามารถเดินทางมาได้ทางเครื่องบินและเรือ หรือถ้าหากมีวีซ่าแคนาดาจะมาจากทาง Yukon ก็ได้เช่นกัน โดยอลาสก้าเคยอยู่ในการปกครองของจักรวรรดิรัสเซียมาก่อนถึง 145 ปี และได้ทำการขายให้สหรัฐอเมริกาในราคา 7.2 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ เนื่องจากตอนนั้นรัสเซียกำลังขาดดุลทางการเงิน ทำสงคราม และมองว่าอลาสก้าไม่ได้ทำกำไรให้มากนัก แต่บอกเลยคิดผิดอย่างรุนแรง หลังจากที่ขายไปไม่นาน ก็ได้มีการค้นพบทองคำ และแหล่งน้ำมันดิบ ซึ่งทำรายได้อย่างมหาศาลเลยหล่ะ!! ชนเผ่าพื้นเมืองคือชาวเอสกิโม หน้าตามีความเอเชียค่อนข้างสูง เนื่องจากสมัยโบราณมานานแล้ว ทะเลแบริ่งได้ลดระดับลง เกิดเป็นแผ่นดินเชื่อมระหว่าง ทวีปเอเชียและอเมริกาเหนือ จึงมีการอพยพมาที่นี่ แต่ปัจจุบันชนพื้นเมืองก็เหลือไม่มากนักแล้ว

ฤดูกาล

ฤดูร้อน เดือนพฤษภาคม ถึง กันยายน จะมีช่วงกลางวันยาวนานกว่ากลางคืน
ฤดูหนาว เดือนตุลาคม ถึง มีนาคม อุณหภูมิและช่วงกลางวันจะแตกต่างกันไปตามแต่ละภูมิภาค เป็นฤดูกาลที่เหมาะสมกับกิจกรรมฤดูหนาว ไม่ว่าจะเป็น สกี snowmobile หรือนั่งสุนัขลากเลื่อน

การเช่ารถ RV

เพชรแนะนำว่าให้ดูและจองแต่เนิ่นๆหากอยากจะขับรถบ้าน ด้วยความที่จำนวนรถมีจำกัดและราคาค่อนข้างสูงหากจองช้า (แบบเรา) ไม่ควรอัดจำนวนผู้เดินทางจนเต็มรถเกินไป เพราะเราจะต้องระบายของเสียออกค่อนข้างบ่อยมาก และอาจจะอึดอัดกันได้เพราะต้องอยู่ด้วยกันแทบตลอดเวลา

Campground

การจอง campground สำคัญไม่แพ้การหารถ RV เช่า Campground จะมีหลายประเภท แบบที่ให้จอดอย่างเดียว เสียบชาร์ตไฟบางส่วนได้ หรือแบบที่มีทุกอย่างพร้อม ( full hook-up) ซึ่งราคาก็จะแตกต่างกันไป หากต้องการนอนใน National park แนะนำว่าจองแต่เนิ่นๆเลยเพราะเต็มค่อนข้างไวมาก สามารถหาได้จาก Google map แล้วติดต่อไปได้เลย

สัญญาณโทรศัพท์

T-Mobile แทบจะไม่มีสัญญาณเลย AT&T ค่อนข้างแรงกว่าค่ะ ใช้สำหรับโทรได้เกือบตลอด แต่เล่น internet แล้วแต่พื้นที่เลย

Itinerary

ทริปนี้เราขับรถบ้าน ที่นอนจึงเป็น campground ทั้งหมด โดยเราแนะนำให้จองล่วงหน้า ซึ่ง campground จะมีหลายประเภท แบบครบวงจร มีที่ชาร์จไฟ สายต่อน้ำและทิ้งของเสีย หรือแบบแค่จอดเฉยๆก็มี แนะนำว่าวางแผนดีๆนะ

Day 0

เราบินจาก LA มาลงที่เมือง Anchorage ไฟล์ช่วงเย็นถึงประมาณเที่ยงคืน แต่ไม่ว่าจะดึกแค่ไหน ที่นี่ก็ยังครึกครื้นเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว ยิ่งมีฉีดวัคซีน Covid-19 ฟรีที่สนามบินด้วย ทำให้คนเยอะเข้าไปใหญ่ คืนนี้เรานอนพักแถวโรงแรมเพื่ออีกวันจะได้ไปรับรถ RV กัน

Day 1

เพิ่งรู้ว่ากว่าจะรับรถได้ตั้งบ่าย 3 แหน่ะ มีเวลาเหลือเฟือมาก หลังจากเก็บของเสร็จ เราไปแวะกินอาหารเที่ยงที่ร้านอาหารชื่อว่า Hong Kong Spirit food แหม่ มาตั้งไกล แต่กินติ่มซำ 555 ก็มันถูกปากนินา อาหารอร่อยใช้ได้ เติมพลังได้ดีมากๆ จากนั้นเราไปเสื้อผ้า ของใช้ เสบียงต่างๆเพิ่มเติม เพราะมาจากไทย ไม่ได้ซื้ออะไรมาเลย เรียกว่าฉุกละหุกสุดๆ หลังจากได้รถแล้วซึ่งสายมากก กว่าบริษัทจะอธิบาย และโน่นนี่นั่น ได้ออกจาก Anchorage เกือบทุ่มจ้า เลทสุดๆ ซึ่งเป้าหมายเราวันนี้คือไปนอนที่ Riley creek campground ที่ Denali National Park ซึ่งห่างออกไปเกือบอีก 400 กม !! ก็คือถึง 5 ทุ่มมมม แต่ แต่ ก็มีสิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นคือ มีอุบัติเหตุบน highway ทำให้รถติดยาวหลายสิบไมล์ อยู่ประมาณ 3 ชั่วโมงได้ ทำให้เราไปไม่ถึงที่หมาย และต้องหา campground อื่นๆตอนเที่ยงคืนนอน !! โถ ชีวิต แค่เริ่มก็มันส์แล้วววววววว

Day 2

หลังจากเมื่อคืนวุ่นวาย เช้านี้หลังจากจัดการทุกอย่างเสร็จ เราก็ออกเดินทางไป Denali National Park กันเลย ซึ่งที่นี่มียอดเขา McKinley ที่สูงที่สุดในทวีปอเมริกาเหนือ และเป็น Top destination ของการมาเที่ยวอลาสก้าเลย รอบนี้เราจอง campground ของทางอุทยานเลย ราคา 20$/คืน โดยจะไม่ได้เป็น full hook up มีจุดให้ dump และเติมน้ำได้ฟรี และต้องเปิดปิด generator ตามเวลาที่กำหนด
เนื่องจาก National park มีขนาดใหญ่มากโดยเราสามารถขับรถส่วนตัวเข้าไปได้ถึง Mile 15 ตรงบริเวณ Savage River ถ้าหากอยากเข้าไปลึกกว่านั้น สามารถทำได้โดย
- จอง Permit license มา โดยจองล่วงหน้าประมาณ 1 ปี และขายหมดไวมาก
- นั่ง shuttle bus ของทางอุทยาน โดยแบ่งเป็น shuttle bus ธรรมดา ขึ้นกับว่าเราอยากไปถึงบริเวณ mile ไหน หรือซื้อเป็นทัวร์ ซึ่งราคาแพงกว่า โดยทั้งสองแบบใช้เวลาประมาณ 8-9 ชั่วโมง แนะนำให้จองล่วงหน้าแต่เนิ่นๆ
ซึ่งเราจองไม่ทัน แต่จริงๆแถวด้านนอกก็สวยมากแล้ว และมี trail ให้เดินเยอะมากๆ ก็ไม่ได้จำเป็นต้องเข้าไปขนาดนั้นนะ เราเลือกเดิน Savage River alpine trail ระยะทาง 4 miles one-way ซึ่งเราไปช่วงเย็นและ shuttle bus ฟรีบริเวณนี้หมดแล้ว ถ้าเดินเองทั้งหมดกลับมาที่จอดรถบริเวณเดิมก็จะประมาณ 6 miles ซึ่งฝนตกตลอดทางเลย แต่วิวแบบฝนตกก็ได้อารมณ์ไปอีกแบบเหมือนกัน เป็นเส้นที่เดินไม่ยากแต่ก็ไม่ง่ายขนาดนั้น เพราะบางช่วงที่ไม่อยู่ในแนวเขา ลมแรงแล้วหนาวมากๆเลย

Day 3

เช้านี้เราตื่นมาคิดว่าจะเดินอีกสักเส้น เราเลือกไป Savage River Loop trail แต่ที่จอดรถหาไม่ได้เลย คนเยอะมาก เลยได้แค่แวะถ่ายรูปเท่านั้นเพื่อไปต่อ เพราะจุดมุ่งหมายเราในวันนี้คือเมือง Fairbank ที่อยู่ด้านเหนือขึ้นไป ขับรถประมาณ 2-3 ชั่วโมงจาก Denali National Park
พบว่าที่เมือง Fairbank มีร้านอาหารไทยอยู่เยอะมากและคนไทยก็อยู่กันเยอะพอสมควร เราเลยแวะไปอุดหนุนร้านนึงเพราะอยากกินอาหารไทยมากเลย ชื่อว่า Thai House restaurant รสชาติอร่อยเลย อาจจะไม่ได้ไทยแท้แบบที่บ้านเรา แต่บอกเลยรสชาติดีมาก ได้จานใหญ่มากด้วย
และก็เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดขึ้น คือกระจกรถ RV แตกจ้า เป็นอุบัติเหตุที่ดันถอยไปชนป้ายข้ามถนน เท่านั้นแหละ งานงอกเลย เราเลยโทรไปหาบริษัทเช่ารถ โทรหาประกัน และหาร้านซ่อมกระจกในเมืองนี้ สุดท้ายหาได้และเค้าจะเปลี่ยนให้เรา พร้อมทำความสะอาดเศษกระจกให้ ค่ากระจกรวมค่าแรกก็ปาไปเบาๆ 260$ ซึ่งประกันมี deduction 250$ เท่ากับว่าเราลมได้แค่ 10$ แง๊ ไม่คุ้มที่จะเคลมเลยจริงๆ 555 แต่อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ ขอแค่เรามีสติจัดการกับปัญหาก็พอ วันนี้เลยหมดไปแบบงงๆ

Day 4

วันนี้หลังจากเอารถไปซ่อมกระจก เจ้าของร้านก็อาสาพาเราไปส่งที่หมายของเรา นั่นก็คือ Trail Breaker Kennel นั่นเอง เราจะไปเจอน้องหมาลากเลื่อนกัน ที่นี่ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในคอกฝึกสุนัขที่เก่าแก่ที่สุดของอลาสก้าเลย ก่อตั้งโดย Susan Butcher ซึ่งเป็นผู้หญิงคนแรกที่ได้แชมป์ Iditarod 4 สมัย!! ปัจจุบันเป็นลูกสาวของคุณซูซานมาดูแลต่อ โดยเราจองมารอบ 8.30 น. ราคาคนละ 125$ วันนี้ฝนตกตลอดแต่น้องหมากระตือรือร้นมาก สำหรับมนุษย์อย่างเราอาจจะหนาว แต่น้องหมาคือร้อนเลยหล่ะ โดยที่ช่วงนี้เป็นช่วงที่เค้าฝึกน้องๆสำหรับการแข่งขันตอนปลายปีพอดี โดยการแข่งขันวิ่งทางไกลของน้องหมา จะมีทั้งหมด 2 รายการด้วยกัน อันแรกคือ Yukon Quest เริ่มจากแคนาดา มาสุดที่ Fairbank และ อีกรายการที่โด่งดังมากคือ Iditarod เริ่มจาก Anchorage ไปสุดที่เมือง Nome โดยเส้นทางนี้เป็น Gold rush มาก่อน ระยะทางที่แข่งคือเป็น 1000 miles ใช้ระยะเวลาประมาณ 8-10 วัน โดย musher ก็คือต้องไปกับน้องๆตลอดทาง จะมี check point ให้รับอาหารและพัก เรียกได้ว่าต้องทรหดประมาณนึงเลย เพราะฤดูหนาวที่นี่โหดมากๆ
การจัดลำดับน้องหมาให้เข้าประจำตำแหน่ง คร่าวๆเป็นไปตามนี้เลย
2 ตัวหน้า เป็นเหมือนพวงมาลัย บังคับทิศทาง ฟังคำสั่ง musher
2 ตัวต่อมา เป็น assistant ใช้ในการทำความเร็ว ทำให้เชือกตึง
4 ตัวต่อมา เป็น engine แต่ถ้าตอนแข่งอาจจะใช้ 8 ตัว
2 ตัวหลังจะถึก และแข็งแรงสุด ใช้แรงมากที่สุด
ช่วงที่เรามายังไม่มีหิมะ เลยจะได้นั่งเป็นรถ 4wd ให้น้องๆลากแทน น้องๆดีใจใหญ่ได้ออกมาวิ่งดูครึกครื้นกันมาๆ ระยะทางวันนี้ประมาณ 2 miles เด็กๆคือดูแฮปปี้มาก ทำเอาเราแฮปปี้ไปตามๆกัน และได้มีโอกาสเล่นกับลูกหมาอีกด้วย น่ารักมาก เป็นอีกหนึ่ง activity ที่แนะนำเลยถ้าได้มีโอกาสมานะ ถ้าฤดูหนาวก็จะได้ฟิลไปอีกแบบเลย
Santa claus house เป็นเหมือนจุดcheck point เมื่อมา Fairbank แต่จริงๆอยู่ที่เมือง North pole ข้างๆกันนี่แหละ ห่างไป 20 นาที ที่นี่เป็นร้านขายของคริสต์มาส และมีซานต้าคอร์สจำลองตัวใหญ่ที่สุดในโลกด้วย ก็คือมาแวะถ่ายรูปเฉยๆ ของก็น่ารักดี อย่าลืมแวะไปดูกวางเรนเดียร์ข้างๆด้วยหล่ะ น่ารักกกก
จากนั้นเราเดินทางกันต่อ แวะซื้อไส้กรอกกวางเรนเดียร์ที่ Delta Meat & Sausage Co. เค้าบอกว่า มาอลาสก้าให้มาลองชิมไส้กรอกกวางอ่ะ ลองดู! แต่จะไม่ใช่เนื้อกวาง 100% นะ มีผสมหมู วัว ด้วย ตัวไส้กรอกจะเนื้อแน่นมากๆๆๆ และมีกลิ่นสาปนิดหน่อย สำหรับคนกลัวโปรตีนตกนี่แนะนำเลย วันนี้เราเดินทางค่อนข้างไกลเลย เราถึงที่พักเกือบ 5 ทุ่ม เนื่องจากมีทำถนนด้วย ซึ่งยาวมากและเสียเวลามากๆ แนะนำให้เผื่อเวลาการเดินทางไว้ด้วยน้า เพราะอลาสก้าใหญ่และขับรถไกลจริงๆ ระหว่างทางขับรถเรามีแวะเดิน trail ที่ Castner creek ซึ่งปลายทางจะเป็นอุโมงค์น้ำแข็งสีฟ้า แต่เหมือนโดนฝรั่งแกง ไปถึงเหมือนไปอยู่ดาวอังคารยังไงก็ไม่รู้ แถมน้ำแข็งดำปี๋และดินร่วงใส่หัวตลอดเวลา 555 แต่สนุกดี ทางเดินไม่ยาก ได้ยืดเส้นยืดสายหน่อยคือดีมากเลย

Day 5

อีกหนึ่งไฮไลท์ของทริปนี้เลย เราจองทัวร์ไปเดินบนธารน้ำแข็งเอาไว้ ที่ Matanuska Glacier เป็นธารน้ำแข็งที่ใหญ่มาก ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง กลุ่มละประมาณ 10 คน โดยธารน้ำแข็งนี่แหละ พอละลายก็จะกลายเป็นแหล่งน้ำต่างๆ เป็นน้ำตกบ้าง บ่อน้ำบ้าง แต่ปัจจุบันละลายไปเยอะมากๆเลยเพราะภาวะโลกร้อนนั่นเอง บอกเลยว่าไม่ใช่เรื่องไกลตัวจริงๆ
จากนั้นเรามุ่งหน้าไปเมือง Whittier ที่อยู่ทางตอนใต้ของอลาสก้า ซึ่งเมืองนี้มีค่าเข้าเมืองด้วย เพราะต้องผ่านอุโมงค์เป็นรอบๆไป เป็นเมืองเล็กๆในอ่าว และเมืองก็ปิดเร็วมาก ตอนแรกเราตั้งใจจะค้างที่นี่ แต่campground ไม่มีอะไรเลย เลยหาใหม่คืนนั้นเลย (ออกมาจากอุโมงค์ใหม่นั่นเอง 555)

Day 6

เปลี่ยนบรรยากาศมาทะเลสาบกันบ้างที่ Kenai Lake เมือง Cooper Landing ที่นี่ made my day มากๆ ซึ่งเมื่อวานเราตั้งใจจะพายคายัคที่ Whittier แต่บริษัทเรือดันปิด คิดว่าอดซะแล้วทริปนี้ แต่เรามาเจอบริษัทที่เค้าเอาเรือมาลงพอดี เลยได้พาย น้ำใสสวย อากาศดีมากๆ พายไปประมาณ 1 ชั่วโมงสนุกสุดๆ จากนั้นเราไปเดิน trail บริเวณแถวนั้นต่อ hike ขึ้นไปนิดเดียวจะเห็น Kenai Lake จากมุมสูง
เรามุ่งหน้าไปยังเมืองที่อยู่ใต้สุดของอลาสก้า Seward นั่นเอง เราชอบ campground ที่นี่มากๆเพราะอยู่ติดทะเลเลย ตื่นมาวิวสวยสุดๆ แต่ก็แลกมาซึ่งลมที่แรงมากๆเช่นกัน ตอนเย็นเรามาต่อคิวร้านดังของที่นี่ The Cookery ถ้าไม่ได้จองล่วงหน้า 16.30 ให้มารอหน้าร้านเลย คิวยาวมากจริงๆ Oyster สดและอร่อยมาก อาหารอร่อย แนะนำเลย

Day 7

สถานที่ท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อที่สุดของ Seward คงหนีไม่พ้น Exit Glacier ธารน้ำแข็งขนาดใหญ่ เป็นส่วนหนึ่งของ Kenai Fjord National Park มีเส้นทางให้ trail หลายระดับ ขึ้นกับความยากง่ายนะ เราเลือกเดินGlacier Overlook loop trail ระยะทางสั้นๆง่ายมาก ทุกคนเดินได้ จะเห็น Glacier ในจากด้านล่าง ระหว่างทางที่เดิน จะมีป้ายเขียนปี ค.ศ. ไว้ ว่าปีนี้ ธารน้ำแข็งอยู่ตรงไหน จะเห็นเลยว่าละลายไปเยอะมากๆเพราะโลกร้อน ดูแบบนี้แล้วแอบใจหายอยู่เหมือนกัน และอีก trail คือ Marmont Meadows ระยะทาง 2.3 km เหมือนจะไม่ไกลแต่โหดพอสมควร elevation gain ค่อนข้างเยอะมาก หัวใจแทบจะหลุดออกมาเลย 555 แต่สวยและคุ้มมากๆ
วันนี้เรากินมื้อเย็นกันที่ร้าน The Highliner Restaurant อีกหนึ่งร้านยอดฮิตของเมือง ขายอาหารอเมริกันซีฟู๊ดทั่วไป รสชาติก็ถือว่าโอเคอยู่ American size มากๆ เราเหนื่อยมากเลยวู่วามสั่งมา กินเกือบไม่หมดแหน่ะ

Day 8

วันนี้กลับแล้ว โดยเราขับเอารถ RV มาคืนที่ Anchorage และยังมีเวลาเหลือ เราเลยได้ไป hike ที่ Flattop mountain เป็นจุดปีนเขายอดฮิตของเมือง สามารถมองเห็นเมืองแบบ panorama ได้เลย เราใช้เวลาทั้งสิ้นไป 3-4 ชั่วโมง ด้วยความที่เราไม่ได้คิดว่าจะมา hike ทำให้เราใส่แค่ sneaker ธรรมดาเท่านั้น ล้มไปหลายรอบอยู่ แต่วิวก็คุ้มความเหนื่อยจริงๆ 
จบแล้วกับอลาสก้า 8 วันของเรา ประสบการณ์รถ RV ครั้งแรกสนุกสุดๆ มีปัญหามาให้แก้ตลอด นี่แหละความสนุกของการเดินทาง มันไม่มีอะไรตายตัว บางอย่างก็ปล่อยมันไป หรือมีเตรียมแผนสำรองไว้ยามฉุกเฉิน แต่สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือสติ การเดินทางให้ข้อคิดและประสบการณ์หลายอย่าง ทำให้เพชรเป็นเพชรทุกวันนี้นี่แหละ